my clipping

ตัดข่าว นสพ. แบบออนไลน์....

Name:
Location: Thailand

Someone... on the sidewalk...

Sunday, June 04, 2006

ตร.เครียด บึ้ม2จุดซุ้มราชดำเนิน

โฆษกตำรวจชี้หวังป่วน สันติบาล-สมช.ล่าตัวด่วน

[บึ้มซุ้ม - สภาพความเสียหายที่บริเวณฐานของซุ้มเฉลิมพระเกียรติฉลองการครองราชย์ 60 ปี บริเวณถนนราชดำเนิน เยื้องสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง หลังถูกคนร้ายลอบวางระเบิด เมื่อเช้ามืดวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา]

วันที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10311


มือมืดลอบบึ้ม 2 จุด ซุ้มประตูงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี กับเสาไฟฟ้าประดับธงบนถนนราชดำเนิน แรงระเบิดทำซุ้มไม้เสียหายกระจายเกลื่อน กระจกกระทรวงเกษตรฯแตกละเอียด หน่วยเก็บกู้พบหลักฐานเศษถุงปุ๋ย นาฬิกา คาดชนิดดินดำอัดใส่โอ่งจุดชนวนโยนใส่ ผบช.น.ระดมบิ๊กนครบาลประชุมเครียด เร่งหาตัวป่วนเมือง "ชิดชัย"ชิ่ง ปิดปากเงียบหนีกลับบ้าน


คนร้ายลอบวางระเบิด 2 ลูกซ้อน ที่ซุ้มประตูงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี และเสาไฟฟ้าประดับธงบริเวณถนนราชดำเนิน จนได้รับความเสียหาย เหตุเกิดขึ้นเวลา 01.30 น. วันที่ 2 มิถุนายน พ.ต.ท.ดำรงพงษ์ เพ็ชรสุวรรณ พนักงานสอบสวน (สบ.3) สน.นางเลิ้ง รับแจ้งเกิดเสียงระเบิดบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ถนนราชดำเนิน กทม. จึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชารุดไปยังที่เกิดเหตุ พร้อมประสานแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิด กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (บก.ตปพ.) ไปร่วมตรวจสอบพบว่าบริเวณเชิงซุ้มประตูงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี ใกล้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถนนราชดำเนิน ถูกแรงระเบิดเสียหายเศษไม้กระจายเกลื่อนถนน จากการตรวจสอบพบเศษถุงปุ๋ยตกอยู่ พร้อมเศษนาฬิกา และจากการตรวจสอบของชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เบื้องต้นทราบว่าเกิดจากแรงระเบิดชนิดทีเอ็นทีไม่ทราบปริมาณ

ถัดมาเวลา 02.00 น. พ.ต.ท.ดำรงพงษ์ได้รับแจ้งเพิ่มเติมว่า เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกที่บริเวณเสาไฟฟ้าด้านตรงข้ามศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศดส.บช.น.) ถนนราชดำเนินนอก แขวงวัดโสมนัสฯ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ รุดไปตรวจสอบพบบริเวณเสาไฟฟ้าที่ประดับติดตั้งธงถูกแรงระเบิดจนกระจาย เศษดินและปูนบางส่วนกระจายเข้าไปถูกระจกในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แตก ตรวจสอบคาดว่าเป็นชนิดดินดำอัดใส่โอ่ง จุดด้วยชนวนโยนใส่ จึงสรุปรายงานผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ( บก.น.1) และ บช.น.ให้ทราบ เพื่อสืบสวนติดตามหาคนร้ายมาดำเนินคดี

ต่อมาเวลา 09.00 น. พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมรอง ผบช.น.ทุกนายร่วมประชุมที่ห้องประชุมปารุสกวัน 1 ซึ่งตั้งเป็นศูนย์รักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจร ในงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี โดยนำเหตุระเบิดประชุมหารือกันอย่างเคร่งเครียด และไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอ้างว่าได้รับคำสั่งจากสำนักพระราชวังห้ามเผยแพร่เรื่องดังกล่าวออกไป

ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 17.50 น. ผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถึงเหตุลอบวางระเบิดบริเวณฐานซุ้มเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถนนราชดำเนินนอก จำนวน 2 จุด ปรากฏว่า พล.ต.อ.ชิดชัยเพียงแต่ยิ้มและปฏิเสธให้สัมภาษณ์ บอกเพียงว่า "ไม่มีอะไร กลับบ้าน กินข้าว เดี๋ยวไปงาน" ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจหรือไม่ เพราะเป็นการวางระเบิดซุ้มเฉลิมพระเกียรติ พล.ต.อ.ชิดชัยกล่าวเหมือนเดิมว่า "เดี๋ยวกลับบ้านกินข้าวก่อน ไม่มีอะไรสัมภาษณ์แล้ว ไป...กลับบ้าน" จากนั้นก็รีบขึ้นรถออกไปทันที

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และ โฆษก ตร.กล่าวถึงเหตุระเบิด ว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเก็บชิ้นส่วนระเบิดได้จำนวนหนึ่ง โดยเหตุระเบิดดังกล่าว ตัวระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้มีชิ้นส่วน ซึ่งเป็นพยานหลักฐานได้อย่างดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอพิสูจน์ โดยจากชิ้นส่วนระเบิดที่พบจำนวนหนึ่งเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ใช้นาฬิกาปลุกจุดชนวนระเบิด อย่างไรก็ตามเหตุระเบิดครั้งนี้จะต้องนำหลักฐานไปเปรียบเทียบกับเหตุระเบิดในหลายครั้งที่ผ่านมา ว่าเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหรือไม่อย่างไร

โฆษก ตร.กล่าวว่า เชื่อว่าคนร้ายต้องการก่อกวนและสร้างสถานการณ์ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการป้องกันเหตุในลักษณะนี้ทำได้ยากมาก จึงต้องขอร้องประชาชนให้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีงานพิธีสำคัญ ขณะนี้ทั้งตำรวจสันติบาล และสภาความมั่นคงแห่งชาติก็ทำการสืบสวนหาข่าวอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไว้

วันที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10311 หน้า 1
หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ

Monday, May 29, 2006

ชีวิตบนซากปรักหักพัง หลังสงครามยาเสพติด




ภาสกร จำลองราช -เรื่อง พัทรยุทธ ฟักผล-ภาพ



กว่า 3 ปีแล้วที่ตาสาและยายแก้ว ภู่มาลา ต้องพยายามข่มตานอนเพียงเพื่อให้ผ่านค่ำคืนของแต่ละวัน โดยมีหลานชายตัวเล็กๆ นอนอยู่ข้างๆ

บ้านหลังขนาดย่อมในหมู่บ้านซับสะเดา ตำบลท่าใหม่ อำเภอครบุรี จ.นครราชสีมา ยามนี้ช่างดูเงียบเหงานัก สำหรับคู่ชีวิตวัยใกล้ 70 ปี แม้มีเสียงใสๆ ของเจ้าตัวน้อยคอยเจื้อยแจ้วให้คลายทุกข์ได้บ้าง แต่พอนึกถึงอนาคตของหลาน เหมือนมีอะไรมาสุมอยู่ในอกทำให้ร้อนรุ่มกระวนกระวายทุกครั้ง เพราะไม้ใกล้ฝั่งอย่างตายาย ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง แล้วไอ้หมาน้อยมันจะอยู่อย่างไร

ทุกครั้งที่ได้ยินผู้บริหารประเทศพา ป่าวประกาศผลงานการทำ "สงคราม" กับยาเสพติด พร้อมกับเสียงเฮรับของคนกลุ่มใหญ่ในสังคม สองตายายได้แต่ทอดถอนใจ

....ไม่ใช่เพราะไอ้สงครามนี่หรอกหรือที่ทำให้พวกแกต้องเสียลูกสาวและลูกเขย

ไม่ใช่เพราะไอ้สงครามนี่หรอกหรือที่ทำให้หลานชายทั้ง 2 คน ต้องกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังแบเบาะ

ห ลังจากแต่งงาน "กัญรญา" ลูกสาวคนเล็กของตาสาและยายแก้วพร้อมกับสามีคือ นายนิคม อุ่นแก้ว ได้เข้ามาขายแรงงานอยู่ย่านตลาดสี่มุมเมือง จังหวัดปทุมธานี แต่วันหนึ่งทั้งคู่โชคดีถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวด เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2544 ได้เงินราว 5.6 ล้านบาท

หลังจากรับเง ินก้อนโต กัญรญาและสามีหอบลูกชาย 2 คน ซึ่งขณะนั้นคนหนึ่ง อายุ 4 ขวบ อีกคนอายุ 1 ขวบ กลับไปอยู่กับตาสาและยายแก้วที่บ้านซับสะเดา แต่เพราะความหวั่นเกรงปัญหาที่จะตามมาจากลาภก้อนโต โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ทำให้ทั้งคู่เก็บงำเรื่องถูกลอตเตอรี่เป็นความลับ มีเพียงญาติพี่น้องไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง

กัญรญาต่อเติมบ้านเ ล็กๆ น้อยๆ ให้พ่อกับแม่พร้อมกับเปิดเป็นร้านขายของชำ ขณะที่นิคมนำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อรถบรรทุก 1 คัน ไว้รับซื้อพืชผลทางการเกษตรส่งขาย และผ่อนรถปิคอัพอีก 1 คัน ไว้ใช้จิปาถะ

ต ้นปี 2546 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณประกาศทำสงครามใหญ่กับยาเสพติด โดยให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจล้นฟ้า สามารถวิสามัญฆาตกรรมคนที่เชื่อว่าพัวพันยาเสพติดได้ตามอำเภอใจ แถมมีเงินหัวติดปลายนวมเป็นค่าลูกปืนให้อีกต่างหาก ทำให้มีการเข่นฆ่าชีวิตคนเป็นว่าเล่นไม่น้อยกว่า 2,600 ราย ในจำนวนนี้เกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ (ตัวเลขจากการแยกแยะของทางการเอง)


1 ในจำนวนศพที่ตายเกลื่อนเมืองนี้คือ กัญรญาและสามี

ก ารกลับมาอยู่บ้านของกัญรญาและสามีอย่างร่ำรวยผิดปกติ ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตต่างๆ นาๆ พร้อมกับเสียงซุบซิบของชาวบ้าน แรกทีเดียวเธอก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเชื่อในมั่นในความจริง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2546 ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มใหญ่พร้อมหมายศาลมาตรวจค้นบ้าน เพราะตั้งข้อสงสัยว่าเธอและสามีพัวพันยาเสพติด แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ พร้อมกันนี้เธอและสามีได้แสดงหลักฐานการได้มาซึ่งทรัพย์สินอย่างถูกต้อง

ค รอบครัวของกัญรญามองโลกในแง่ดีว่า คงไม่มีเหตุรุนแรงใดๆนัก เช้ามืดวันที่ 28 มีนาคม นิคมขับรถพาเมียไปตัวอำเภอครบุรีเพื่อซื้อข้าวของ ส่วนหนึ่งเข้าร้านอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับงานทอดผ้าป่าของโรงเรียนประจำหมู่บ้ าน โดยมีเพื่อนบ้านติดรถไปตลาดด้วย 1 คน ระหว่างทางได้มีกลุ่มชายฉกรรจำนวนหนึ่งใช้ไฟฉายเรียกให้หยุด และให้ทั้งคู่ลงมานั่งกับพื้นข้างรถพร้อมกับจ่อยิงหัวอย่างเหี้ยมโหด ส่วนเพื่อนบ้านที่อยู่ในรถถูกไล่ให้กลับบ้าน

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุ และค้นพบยาบ้าจำนวน 17 เม็ดซุกซ่อนอยู่หลังเบาะรถ

หลังจากนั้นทรัพย์สินทั้งรถยนต์และเงินสดที่เหลืออยู่ในบัญชี 1.8 ล้านบาทต้องถูกทางการอายัดไว้หมด

ต าสาและยายแก้วเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลูกสาวและลูกเขย ไม่ใช่เหตุผลแค่ความเป็นพ่อแม่เท่านั้น แต่เพราะพวกแกรับรู้เรื่องราวดีมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่คนบ้านนอกอย่างแกพูดไปก็ไม่มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ไหนฟัง ยิ่งในยามสถานการณ์เชี่ยวกราดและคะแนนนิยมในตัวผู้นำประเทศพุ่งสูงลิ่ว เสียงอธิบายของคนแก่แทบไม่มีใครได้ยิน มีเพียงเพื่อนบ้านเท่านั้น ที่หลังจากรับรู้ต้นสายปลายเหตุต่างเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของกัญรญาและสา มี เพราะรู้นิสัยใจคอกันมาตั้งแต่เด็ก และร่วมกันลงชื่อร้องเรียนมายังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

"ตอน นี้เขาคืนรถและเงินมาให้แล้ว" ตาสาเล่าถึงความลำบากที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่หลายเที่ยว จนผ่านไป 1 ปี 6 เดือน จึงได้รับความเป็นธรรมคืนกลับมาบ้าง "ตอนนั้นต้องไปกู้เงินญาติพี่น้องมาทำศพพวกเขา ไหนจะต้องเสียค่ารถค่าลาอีก พอได้เงินคืนมาก็เอาไปใช้หนี้เขาจนแทบไม่เหลือ


" ทางการบอกว่าจะจ่ายเงินช่วยเหลือ 7.5 หมื่นบาท แถมบอกว่าถ้าไม่พอใจก็ให้ไปอุทธรณ์เอา แต่จนเดี๋ยวนี้แม้แต่เงินแดงเดียวลุงก็ไม่ได้เห็น" ตาสาบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย และไม่คิดจะไปเอาเรื่องเอาราวกับใครอีก "ชีวิตคนมันแค่ 7.5 หมื่นบาทเอง"

"เหลืออยู่คนเดียว อีกคนหนึ่งลูกชายที่บวชเป็นเจ้าอาวาสเอาไปเลี้ยงให้" ยายแก้วพูดถึงหลานกำพร้าทั้ง 2 คน โดยคนโตพอเข้าเกณฑ์เรียน พี่ชายของกัญรญานำไปอุปการะให้ "มันไม่ควรกำพร้าเลย เพราะพ่อแม่มันไม่ได้ทำอะไรผิด พอมีเงินมีทองมันก็อยากกลับมาอยู่กับพ่อกับแม่" หญิงชรายังอาลัยลูกสาว ซึ่งรางวัลที่ 1 ยายแก้วก็ไม่อยากได้ หากรู้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตเช่นนี้

ห ัวอกคนเป็นแม่ชอกช้ำเพียงใดที่เลี้ยงลูกมาจนเติบใหญ่ ใกล้ได้พึ่งพายามแก่เฒ่า แต่จู่ๆ ลูกกลับถูกฆ่าตายโดยไร้ความผิดด้วยน้ำมือของคนที่อ้างว่าพิทักษ์บ้านเมือง

" ก็ภาวนาอย่าให้คนอื่นเจออย่างเรา ใครผิดจริงก็ไม่ว่าอะไรเลย แต่คนไม่ผิด อย่าไปฆ่าเขาเลย อย่างน้อยเรียกเขามาสอบถามสักหน่อยก็ยังดี" ตาสาพูดเหมือนเตือนสติใครบางคนที่ยามนี้ทำท่าจะอ้างประเด็นยาเสพติดมาสร้างค วามชอบธรรมให้ตัวเอง "จะฆ่ากันก็ไม่ว่า แต่ต้องสืบให้ดีก่อน ไม่ใช่แค่ได้ยินข่าวลือก็ยิงทิ้งแล้ว"

แม้ในวัยสังขารร่วงโรย แต่ตาสาและยายแก้วยังพากันแบกจอบเข้าไร่เหมือนที่เคยเหนื่อยตอนเลี้ยงกัญรญา เพียงแต่วันนี้ดูเหมือนจอบจะหนักกว่าเดิมเพราะเรี่ยวแรงอันถดถอย

โดยไม่รู้ว่าเวลาที่เหลืออยู่จะปุกปั้นชีวิตใหม่ให้เติบใหญ่ได้แค่ใหน

เสียงจาก กสม.

นายวสันต์ พานิช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่ประธานอนุกรรมการตรวจสอบกรณีร้องเรียนเรื่องผู้เสียชีวิตจากกา รประกาศสงครามยาเสพติด กล่าวว่า นโยบายประกาศสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2,600 คน แต่หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสถึงเรื่องนี้ ทำให้รัฐบาลไปแยกแยะผู้เสียชีวิตจน พบว่า ในจำนวนนี้มีผู้บริสุทธิ์อยู่กว่า 1,000 คน ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับการร้องเรียนเข้ามามาก และเท่าที่ตรวจสอบไปแล้วพบว่าผู้ที่ถูกฆ่าตายไม่น้อยกว่า 50 กรณีเป็นผู้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับกรณีของกัญรญาและสามี

"ไม่มีใครไม ่เห็นด้วยกับการปราบปรามยาเสพติด แต่ควรใช้กระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีศาลคอยตรวจสอบอยู่ แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ผู้บริสุทธิเสียชีวิตไปจำนวนมาก เพราะเป็นไปตามนโยบายของผู้นำรัฐบาล ซึ่งมีหนังสือเวียนไปยังหน่วยงานราชการให้ตัดยอดผู้ค้ายาเสพติดออกจากบัญชี โดย 1.จับกุม 2.วิสามัญฆาตกรรม 3.การเสียชีวิตด้วยประการใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นการส่งเสริมให้ใช้ศาลเตี้ย

"นโยบายให้ใช้ความรุนแรงนี ้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ประสบความสำเร็จ ยิ่งการที่บอกว่าจะกลับมาปราบปรามอีกครั้ง แสดงว่าที่เคยประกาศไว้ว่าบ้านเมืองนี้ปลอดยาเสพติดแล้ว จึงไม่เป็นความจริง ที่สำคัญคือคนที่ตายส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านระดับล่าง แต่สำหรับพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ๆ หรือตัวการรายใหญ่ๆ แทบไม่เคยถูกจับได้เลย

" คนที่บริสุทธิจำนวนมากต้องตายไป แถมยังถูกกล่าวหาว่าพัวพันยาเสพติด ทำให้เขาเสียชื่อเสียงทั้งวงศ์ตระกูล บางส่วนแทบอยู่ในสังคมไม่ได้ แม้ภายหลังได้มีการพิสูจน์แล้วว่าเขาบริสุทธิ์ก็ตาม แต่รัฐบาลก็ไม่ได้เยียวยาอะไรเขาเลย และมีจำนวนมากที่ลูกหลานเขาต้องอยู่อย่างลำบาก เพราะผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งเป็นคู่สามี-ภรรยา ทำให้ลูกๆ ไม่มีใครเลี้ยงดู และอีกจำนวนมากเป็นหัวหน้าครอบครัว

"มีจำนวนมากที่ราชการไปยึดทรัพย์ เขา ยึดโดยไม่ดูข้อเท็จจริง เพราะกฎหมายให้ยึดได้เฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาจากการต้ายาเสพติด แต่นี่ไปยึดเขาแม้กระทั่งหม้อหุงข้าว กระติกน้ำร้อน ที่เขาใช้ประจำวัน สร้างความเดือนร้อนให้คนในครอบครัวกันถ้วนหน้า พอยึดมาแล้วก็ไม่ได้ดูแล

" กสม.เคยทำรายงานเสนอไปยังรัฐบาลแล้ว โดยเฉพาะคนบริสุทธิ์ต้องรีบเข้าไปเยียวยาเขา ไม่ต้องรอให้เขามาร้อง แต่ต้องไปหาเขาเลย แต่ผมไม่รู้ว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง

"หากคุณทักษ ิณอ้างว่าการกลับมาเที่ยวนี้ เพราะต้องการปราบปรามยาเสพติดด้วยวิธีการเดิมๆ ผมว่าอย่ากลับมาเลย เพราะความรุนแรงที่ใช้ในครั้งก่อนนอกจากไม่ได้ผลแล้วยังสร้างปัญหาด้วย"

หน้า 8<
วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10305

Saturday, February 04, 2006

ผู้ก่อวิกฤตร้ายแรง ถวายฎีกา"ทักษิณคือปัญหาแผ่นดิน"

ผู้ก่อวิกฤตร้ายแรง ถวายฎีกา"ทักษิณคือปัญหาแผ่นดิน"

"เปรม"ให้หน.สนง.รับแทน กว่า5หมื่นร่วมชุมนุมพระรูป



ร่วมขับไล่ - ผู้ชุมนุมจากกลุ่มต่างๆ และประชาชนหลากหลายสาขาอาชีพจำนวนมากนั่งเต็มลานพระบรมรูปทรงม้าระหว่างฟังการปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำชุมนุมกู้ชาติวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เพื่อยื่นฎีกาถวายในหลวงและขับไล่กดดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ม็อบกว่า 5 หมื่นร่วม "สนธิ" แน่นลานพระบรมรูปทรงม้า ยื่นฎีกาถวายในหลวงระบุนายกฯคือปัญหาของแผ่นดิน เป็นผู้ก่อปัญวิกฤตร้ายแรงของชาติ "ป๋าเปรม"ให้"พล.ร.ท."หน.สำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษรับแทน เตรียมตั้งคณะกก.ภารกิจกู้ชาติและปฏิรูปการเมืองสู้ต่อ



**ม็อบ5หมื่นฟัง"สนธิ"ขับไล่"ทักษิณ"

การชุมนุมกู้ชาติวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งนำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและผู้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ในการยื่นถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านทาง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. มีกลุ่มหนุนนายสนธิทยอยมารวตัวมากขึ้นเรื่อยๆ มีการปราศรัยของบรรดาแกนนำขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ สลับกับการแสดงดนตรีของวง "คาราวาน" และลำตัด บนเวทีที่จัดขึ้นด้านหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม จนกระทั่งเวลา 16.50 น. นายสนธิ จึงเดินทางมาที่บริเวณพระบรมรูปทรงม้า และเตรียมขึ้นปราศรัยบนเวที โดยมีการ์ดรักษาความปลอดภัยล้อมมาประมาณ 7 คน นอกจากนั้นทีมงานของนายสนธิ ได้ถือธงรูปหนุมานอาสา จตุคามรามเทพ เดินชูนำหน้าตลอดเวลา ก่อนที่จะนำธงรูปหนุมานอาสาขึ้นไปวางบนเวทีเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู ้อธรรม ท่ามกลางประชาชนที่รอฟังเพิ่มขึ้นประมาณ 50,000 คน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก รวมทั้งบรรดานักการเมืองหลายคน อาทิ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.กทม. น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ส.อุดรธานี นายการุณ ใสงาม ส.ว.บุรีรัมย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ หัวหน้าพรรคพลังธรรม นายชิงชัย มงคงธรรม หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ฯลฯ

**"สนธิ"โวยถูกแกล้งสกัดม็อบเข้ากรุง

ด้านนายสนธิให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเวทีว่า จุดประสงค์ของการชุมนุมวันนี้ก็เพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความชอบธรรม แต่เป็นการแสดงออกโดยสันติ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมกันอย่างสันติ ไม่ปรารถนาที่จะใช้ความรุนแรง เป็นการแสดงพลัง แสดงความคิดเห็น เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยเปิดโอกาสให้ประชาชานได้แสดงความคิดเห็นเลย สถานทีโทรทัศน์ วิทยุ วันนี้ที่มาชุมนุมกันเพราะไม่เห้นด้วยกับวิธีการปกครองของ พ.ต.ท.ทักษิณ

น ายสนธิกล่าวด้วยว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณยังด้านอ้างเรื่อง 19 ล้านเสียง ก็เป็นเรื่องของเขา วันนี้ถ้าไม่แกล้งประชาชน สกัดกั้นประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ นานา อย่างน้อยจะเข้ามาชุมนุมครึ่งกรุงเทพฯ ไปซื้อตั๋วรถไฟก็บอกไม่มีตั๋ว หาก พ.ต.ท.ทักษิณรักประชาธิปไตยจริง ก็ต้องให้ประชาชนแสดงออก เพราะ 19 ล้านเสียง ก็มีอยู่ในการชุมนุม และตนก็เป็น 1 ใน 19 ล้านเสียง ที่เลือกพรรคไทยรักไทย

**ตั้งทีมภารกิจกู้ชาติ-ปฏิรูปการเมือง

รายงานข่าวจากแกนนำการชุมนุมส่วนหนึ่งเปิดเผยว่า ก่อนหน้าจะเดินทางมาที่เวทีอภิปราย กลุ่มนายสนธิ และนักวิชาการส่วนหนึ่งได้หารือกัน อาทิ นายชิงชัย มงคลธรรม นายสมเกียรติ นายเอนก และองค์กรภาคประชาชน รวมทั้งองค์กรประชาธิปไตย จะรวมตัวกันจัดตั้งเป็นองค์กรเพื่อเคลื่อนไหวขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยใช้ชื่อ คณะกรรมการ "ภารกิจกู้ชาติและปฏิรูปการเมือง" มีกรรมการประมาณ 7-8 คน เพื่อทำหน้าที่อภิปรายเปิดโปงความไม่ชอบธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ โดยคงในรูปแบบของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เพียงแต่ว่าการขึ้นพูดหรืออภิปรายบนเวทีไม่ใช่แค่นายสนธิเท่านั้น แต่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปจัดรายการ ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ อาจารย์จากสถาบันต่างๆ ตัวแทนจากองค์กรครู และกลุ่มเกษตรกร

"องค์ก รพันธมิตรในรูปแบบคณะกรรมการเพื่อขับไล่ทักษิณ จะมีการประกาศรายชื่อกรรมการทั้ง 7-8 คน ในวันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์" รายงานข่าวกล่าว

**ม็อบปารูปล้อเลียน"นายกฯ-รมต."

สำหรับความ เคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ก่อนหน้านี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่กลางดึกของคืนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สลับกับทีมงาน เปิดอภิปรายเรียกน้ำย่อย และหยุดพักเป็นระยะๆ โดยมีผู้สนใจเข้าฟังประมาณ 500 คน ซึ่งการอภิปรายดังกล่าวดำเนินไปจนถึงเช้าแล้วหยุดพัก 2 ชั่วโมง ก่อนจะมาเริ่มต้นใหม่ในเวลา 08.00 น. ขณะที่บรรยากาศรอบข้างได้มีการตั้งเต๊นท์ และนำเกมต่างๆ เช่น นำภาพการ์ตูนเป็นรูปหน้าของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี มาติดตามเสาแล้วให้ประชาชนเอาลูกเทนนิสขว้างใส่ หรือนำภาพมาให้คนเหยียบ

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มแม่ชีมาร่วมนั่งสมาธิประมาณ 30 คน และพระสงฆ์ร้อยเอ็ด เดินทางมาร่วมชุมนุม โดยมีประชาชนบางส่วนรวมกลุ่มนั่งเรียงรายตามฟุตปาธ และประกาศอดอาหารประท้วงรัฐบาล

**แกนนำครูยื่นหนังสือให้ย้ายผบช.ภ.4

เวลา 11.00 น. นายอวยชัย วะทา แกนนำเครื่องข่ายคัดค้านการโอนสถานศึกษาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมข้าราชการครูจำนวน 50 คน เดินทางไปยื่นหนังสือต่อ พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น. เพื่อให้เรียกร้องให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ลาออก รวมทั้งให้มีการย้าย พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภาค 4 เนื่องจากมีพฤติกรรมข่มขู่สิทธิเสรีภาพของกลุ่มครูภาคอีสาน จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา

ส่วนบนเวที มีกลุ่มศิลปินเพื่อชีวิต นำโดยนายวสันต์ สิทธิเขต ขึ้นไปอ่านกลอนและสลับกับการร้องเพลง รวมทั้งบอกว่า การชุมนุมวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เป็นวันเดียวกับชาวบ้านบางระจันช่วยกันต่อสู้จนได้รับชัยชนะ ขณะเดียวกัน ได้มีการตั้งโต๊ะให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมลงชื่อ แบ่งเป็น 2 โต๊ะ คือโต๊ะลงชื่อถวายสัตย์ปฏิญาณร่วมต่อสู้เพื่อให้มีการถวายคืนพระราชอำนาจ และโต๊ะลงชื่อร่วมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ลาออก

**ตำรวจเพิ่มกำลังเป็น5พันป้องกันเหตุ

เวลา 14.00 น. ผู้คนยังทยอยมาร่วมชุมนุมเพิ่มเป็น 5,000 คน แต่ยังอยู่ในความสงบ โดยทางผู้ประสานการชุมนุมมีการปั๊มตราบนข้อมือของผู้เข้าไปในบริเวณชุมนุมเพ ื่อป้องกันคนแปลกปลอมเข้าไปก่อกวนสถานการณ์

เวลา 15.00 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดกั้นถนนบริเวณทางเข้าด้านหน้าพระบรมรูป ด้านถนนอู่ทอง และด้านถนนศรีอยุธยา ไม่ให้รถเข้า เพื่อตรวจค้นทุกคนที่มาร่วมชุมนุม

เวลา 16.00 น. ดนตรีหงา คาราวาน เริ่มเปิดการแสดงบนเวที สร้างความคึกคักให้กับผู้มาชุมนุม ขณะที่จำนวนผู้ที่มาร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 30,000 คน

**รัฐบาลเปิดทำเนียบตั้งทีมแก้เกมม็อบ

เวลา 17.00 น. จำนวนผู้มาร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่ามีประมาณ 50,000 คน

ขณะเดียวกันนายสนธิ เดินทางมาถึงบริเวณด้านหลังเวทีอภิปราย มีชุดคุ้มกันประมาณ 20 คน นอกจากนั้นมีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายวีระ สมความคิด เดินทางมาพร้อมกัน เมื่อผู้ชุมนุมรู้ว่านายสนธิเดินทางมาถึงทำให้ผู้คนที่มาร่วมชุมนุมยิ่งเดิน ทางเข้ามาสมทบมากขึ้น จนกระทั่งเวลา 19.00 น. นายสนธิได้ขึ้นเวทีและปราศรัย

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐบาล พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงตั้งแต่เวลา 10.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล และในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมติดตามสถานการณ์การชุมนุมที่ทำเนียบอย่างใกล้ชิด

**"บิ๊กจิ๋ว"ให้ทุกฝ่ายยึดพระราชดำรัสในหลวง

ก่อนหน้านี้วันเดียวกัน เวลา 11.00 น. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ต่อสู้และเอาชนะความยากจน เปิดบ้านปิ่นประชาคม นนทบุรี ให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมกู้ชาติของนายสนธิว่าความคิดเห็นส่วนตัวเห็นว่า ที่ว่าบ้านเมืองอ่อนแอ ไม่ใช่อ่อนแอเพราะกำลังทหารไม่ดีพอ หรือเศรษฐกิจ แต่เป็นเพราะคนในชาติขาดความสามัคคี รวมถึงมีผู้ที่เลือกวิถีทางที่จะสร้างความตระหนกขึ้นในสังคม จึงต้องการให้ทุกฝ่ายแสวงหาสันติ หันหน้ามาคุยกัน และคำถามว่าใครถูก ใครผิด คงไม่ใช่คำถามสำหรับเวลานี้ จึงขอให้ทุกฝ่ายยึดพระราชดำรัส

"สิ่งที่อยากจะฝากอีกประการคือ อยากให้ผู้ที่มีสติปัญญา เป็นผู้นำความคิดในบ้านเมือง มานั่งหารือ ช่วยกันคิดหาทางออกให้บ้านเมือง โดยเฉพาะหลายคนที่เคยทำงานให้บ้านเมืองมายาวนาน เพราะปัญหาของบ้านเมืองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก อยากให้ทุกคนช่วยกันหาคำตอบว่า ปัญหาเกิดจากอะไร" พล.อ.ชวลิตกล่าว

**วอนทุกฝ่ายอย่าสร้างปัญหาเพิ่ม

"วันนี้ ทุกคนโยนความผิดว่า รัฐธรรมนูญไม่ดี แต่ลืมนึกถึงว่าปัญหาชาติคืออะไร หลายฝ่ายให้ความสำคัญกับปัญหาบุคคล ปัญหาของรัฐธรรมนูญ หากคิดกันอย่างนี้ เกรงว่าจะเสียเวลา จึงขอฝากว่าทุกอย่างมีกฎเกณฑ์กติกา ระหว่างที่บ้านเมืองมีปัญหา หากเราไปสร้างปัญหาเพิ่มถือว่าไม่ถูก" พล.อ.ชวลิตกล่าว และว่า เชื่อว่าหลายคนที่ออกมาชุมนุม ไม่ได้เกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อาจจะรู้สึกว่า มีคำพูดที่ขัดหู ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ตรงไปตรงมา หากรู้เรื่องลึกๆ ของความขัดแย้ง จะทราบว่ามีที่มาจากเรื่องเล็กๆ

**ขอ"เปรม"ช่วยยุติความขัดแย้ง2ฝ่าย

เมื่อถามว่าสถานการณ์ขณะนี้ ใครที่เหมาะสมจะมาเป็นตัวกลาง พล.อ.ชวลิตเห็นว่า ควรเป็นบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่พอ และทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องเห็นด้วย และว่าวันนี้ มีความพยายามที่จะเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าจะต้องคิดให้ดี เพราะจะทำให้ พล.อ.เปรมไม่สบายใจ เพราะภาพลักษณ์ของ พล.อ.เปรม เป็นภาพลักษณ์ของสถาบันที่เราต้องเคารพ จึงต้องตระหนัก และคิดให้ดี

"ถ้าพล.อ.เปรมจะกรุณาเป็นคนกลางในการเจรจาคงทำได้ ผมคิดว่าท่านกำลังคิดอยู่ อย่างไรก็ขอให้ยึดพระราชดำรัสเป็นที่ตั้ง ถ้าทุกคนยึดพระราชดำรัส วันนี้ ปัญหาจบ" พล.อ.ชวลิตกล่าว และว่า หากคิดจะแก้ปัญหาชาติ ผมฝากให้ถามตัวเองว่า วิถีทางที่ทำ แก้ปัญหาชาติได้แน่หรือไม่ แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่

**ป๋าเปรมติดงานค่ำสั่งทส.รับฎีกาสนธิ

ส่วนความเคลื่อนไหวของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้สั่งการ ให้ พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รอรับฎีกาของนายสนธิ ที่บ้านพักรับรองสี่เสาเทเวศร์ โดย พล.อ.เปรม มีกำหนดการในช่วงเย็นจนถึงช่วงค่ำ เดินทางไปเปิดงานที่หอศิลป์ ธนาคารกรุงเทพฯ ถนนผ่านฟ้าแล้ว ได้ไปร่วมงานศพ ก่อนจะเดินทางไปต่อที่โรงแรมโอเรียลเต็ล เพื่อร่วมรับประทานอาหารกับนายชาตรี โสภณพานิช และผู้ร่วมงานนิทรรศการ "ศิลปกรรมสายสัมพันธ์ 3 วัย"

**ดับข่าวลือไปโคราช-แต่งดสัมภาษณ์

อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงบ่ายมีการนำเสนอข่าวทางสถานีโทรทัศน์ว่า พล.อ.เปรม ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.นครราชสีมา แต่เมื่อเวลา 16.15 น. พล.อ.เปรมในฐานะประธานมูลนิธิหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี นาถ ได้เดินทางไปที่หอศิลป์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ บริเวณอาคารสำนักงานธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนผ่านฟ้า เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ "ศิลปกรรมสายสัมพันธ์ 3 วัย" โดยมี นายชาตรี โสภณพานิช ประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพ ให้การต้อนรับ ขณะที่เดินชมนิทรรศการบริเวณชั้น 3 ได้ทักทายผู้สื่อข่าวพร้อมถามขึ้นมาว่า "เมื่อเช้าเห็นทีวีช่อง 5 หรือช่องไหนไม่ทราบบอกว่าอยู่โคราช" ผู้สื่อข่าวถามว่า มองหรือไม่ว่าทำไมทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์อะไรต้องบอกว่าไปอยู่โคราช

พล.อ.เปรมกล่าวว่า "เออ ทำไมต้องบอกป๋าอยู่โคราช ช่วยเอาไปออกข่าวด้วยนะว่าเราอยู่งานที่นี่" ผู้สื่อข่าวสอบถามความเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมครั้งนี้ พล.อ.เปรม กล่าวว่า "วันนี้ไม่ได้เอาปากมาด้วย"

**"ชวน"ยันปชป.ไม่มีนโยบายขนม็อบ

ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุพรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังม็อบลานพระรูปทรงม้าโดยขนคน จังหวัดละ 25 คันรถ ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีนโยบายขนคนมาร่วมการชุมนุม แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคบอกไว้ว่าหากใครต้องการมาร่วมชุมนุมถือว่าเป็นสิทธิ แต่หากมีคนจากภาคใต้มาร่วมการชุมนุมก็ต้องมีคนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์อ ยู่แล้ว เพราะ ส.ส.ภาคใต้ส่วนใหญ่มาจากพรรคประชาธิปัตย์

**กรีด"แม้ว"อย่ากลัวเกินเหตุไม่ใช่ปฏิวัติ

"ผมไม่เข้าใจว่าทำไมนายกฯจึงกลัวเกินเหตุ เพราะคนที่มาร่วมชุมนุมไม่ได้มาปฏิวัติหรือก่อเหตุการณ์ร้าย จึงไม่ทราบว่านายกฯกลัวว่าคนมามากหรือกลัวคนฟังในสิ่งที่คุณสนธิพูด ซึ่งรัฐบาลทุกชุดก็ไม่อยากให้เกิดการชุมนุมขึ้น แต่เมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้นรัฐบาลชุดก่อนๆ ก็ไม่ได้กลัวขนาดนี้ เพียงแต่ดูแลไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าก็ไม่ได้เป็นการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลอย่างการชุมนุมครั้งน ี้" นายชวนกล่าว

ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ในวันนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่วิกฤตของนายกฯ ผมขอเรียกร้องให้นายกฯใช้สติ และวิจารณาญาณของผู้นำประเทศในการรักษาความสงบเรียบร้อยในการที่จะดูแลการชุ มนุมครั้งนี้ และที่สำคัญไม่ควรใช้อำนาจรัฐในการสั่งการเจ้าหน้าที่หรือคนของรัฐบาลอย่าให ้เกิดการยั่วยุทำให้เกิดปัญหา เพื่อให้การชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบ

**"จาตุรนต์"ห่วงจนท.ใช้อำนาจระมัดระวัง

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่มีครู อาจารย์ นักศึกษาเข้ามาร่วมชุมนุมกับกลุ่มนายสนธิ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าว่าการชุมนุมครั้งนี้คงต้องภาวนาและตั้งความหวังว่าทุ กฝ่ายจะใช้เหตุผลและสติปัญญาและใช้แนวทางแบบสันติวิธี ยอมรับว่าการออกมาเคลื่อนไหวเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ที่รักษากฎหมายก็ควรใช้อำนาจอย่างระมัดระวัง ไม่ควรใช้กำลังแบบเกินเหตุเพราะเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุบานปลายได้

**ผู้ว่าฯกทม.ยันช่วยตามรธน.ไม่เกี่ยวพรรค

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ได้ประสานงานกับ บชน. ในเรื่องการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ไปร่วมชุมนุม โดย กทม.ได้เตรียมรถสุขาให้ 5 คัน เพิ่มถังขยะ และเจ้าหน้าที่ดูแลความสะอาด อย่างเต็มที่ในส่วนของอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นอื่นๆ หากมีการร้องขอมาก็จะดำเนินการให้ ซึ่งไม่ได้ถือเป็นการเอื้ออำนวยแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญและตามระบอบประชาธิปไตยที่มีสิทธิทำได้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพรรคแต่อย่างใด ทำหน้าที่ในฐานะผู้ว่าฯกทม.เท่านั้น

**"สนธิ"เคาะระฆังเอาฤกษ์ฟ้อง"ในหลวง"

ต่อมาเวลา 19.00 น. นายสนธิ และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ พิธีกรรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ได้ขึ้นบนเวทีจุดธูปเทียนสักการะพระพุทธรูป จากนั้นนายสนธิได้เคาะระฆัง พร้อมกล่าวว่า เป็นระฆังที่ได้จากวัดชนะสงคราม อายุกว่า 100 ปี ในอดีตการเคาะระฆังของประชาชน เนื่องจากต้องการฟ้องพระเจ้าแผ่นดินว่ามีเรื่องเดือดร้อน ดังนั้น ที่ตีระฆังก็เพื่อฟ้องพระเจ้าแผ่นดินว่าความชั่วร้ายของนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาวันนี้ไม่ได้มาแค่ 1,500 คน อย่างที่สถานีโทรทัศน์ อสมท รายงาน

นายสนธิกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเป็นคนปากกล้า ขาสั่นเพราะมีการไปเตรียมเครื่องบินพร้อมอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ การที่ประชาชนจะไล่ จะต้องทำเป็นระบบ เพราะนายกฯชอบเมกะโปรเจ็คต์ ประชาชนคงต้องไล่แบบเมกะไล่ และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณจาบจ้วงพระมหากษัติย์ ไม่รู้จักตัวเอง พูดได้อย่างไรว่าหากจะลาออกขอให้พระเจ้าอยู่หัวมากระซิบข้างหู อยากถามว่าทหารอยู่ที่ไหน สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดสามารถจับไปยิงเป้าได้เลย

นายสนธิกล่าวต่อว่า ตนจะสู้ในวันนี้จนถึงวันพรุ่งนี้หรืออาจจะต่อไป วันนี้สังคมถูกปิดปาก พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่าประชาชนคนไทยโง่ รัฐบาลชุดนี้พยายามบอกว่าเศรษฐกิจดี แต่ก่อนเข้ามาประชาชนมีหนี้สินครัวเรือน 80,000 บาท ปลายปี 2548 หนี้เพิ่มเป็น 140,000 บาท ขณะที่บริษัทของเขามีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ถึง 20,000 ล้านบาท ประชาชนเป็นหนี้สูงขึ้น แต่บริษัทชินฯกลับได้กำไรเพิ่มมากขึ้นถึง 400,000 ล้านบาท แล้วเศรษฐกิจจะดีได้อย่างไร เพราะกระจุกแค่คน 4-5 คน นักธุรกิจที่เข้าทำเนียบ ที่ให้กำลังใจก็มีอย่าง คนในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ได้ธุรกิจด้านการเกษตรหลายโครงการ รวมทั้งนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ที่รับงานรัฐบาลเอาหุ้นมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในรอบ 5 ปี พ.ต.ท.ทักษิณบริหารประเทศ หุ้นขึ้นจาก 20,000 ล้านบาท เป็น 400,000 ล้านบาท เพื่อจะขายในส่วนของครอบครัวชินวัตรให้ได้ 73,000 ล้านบาท

**ลั่นไม่เคยเห็นการเมืองไทยต่ำช้า

นายสนธิกล่าวด้วยว่า ได้ปวารณาตัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอตายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ 1 วัน เพื่อที่จะเดินไปถามว่า บาทเดียวตายไปจะเอาไปได้หรือไม่ วันนี้คนไทยต้องการกู้ชาติ ต้องการให้ประเทศไทยเป็นของคนไทย ไม่ใช่ของชินวัตร ดามาพงศ์ หรือวงศ์สวัสดิ์ ตนไม่เคยเห็นการเมืองไทยต่ำช้าขนาดนี้

"วิธีโกงชาติ บ้านเมืองมีหลายวิธี ยุคนี้เป็นโจรใส่เสื้อนอก ปล้นคนไทยเป็นระบบ พอเราตกเหว เขาขึ้นสวรรค์ ยุคทักษิโณมิกส์ ทำได้แต่การปั่นประเทศ ไม่ได้เดินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมขอกล่าวสัจจะวาจาวันนี้ต่อหน้ารัชกาลที่ 5 ว่าผมจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ไม่ลง ส.ส. ส.ว. ขอแค่เป็นยามรักษาแผ่นดิน แต่มีข้อแม้ว่า ถ้ามีการยึดทรัพย์ จะขอเป็นหนึ่งในคณะกรรมการยึดทรัพย์" นายสนธิกล่าว และว่า คนที่มาวันนี้เป็น ครู ลูกจ้าง เถ้าแก่ กว่าจะหาเงินได้ ต้องประหยัด แต่บางตระกูล มีทรัพย์สินเพิ่มเป็นหมื่นล้าน จะมีไม่มากได้อย่างไร ถ้าไม่โกง แต่ก่อนเรียกว่า โคตรโกง แต่ตอนนี้ต้องเรียกว่าโกงกันทั้งโคตร

**ยื่นฎีกา2ทางบ้านสี่เสา-ราชเลขาฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสนธิกำลังปราศรัยอยู่นั้น ได้มีชายคนหนึ่งชูป้ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ จนทำให้นายสนธิกล่าวผ่านไมโครโฟนว่า "คุณจะมาชูป้าย ก็มาชูข้างหน้า อย่าไปบังเขา" จากนั้นประชาชนก็ลุกฮือขึ้นมา จนนายสนธิต้องบอกว่า "เห็นใจเขา เขารับเงินมา" ก่อนจะให้ตำรวจกันตัวชายคนดังกล่าวออกไป

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า เนื้อหาของการปราศรัยของนายสนธิ ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว รวมถึงรัฐมนตรีบางคน "วันนี้ 4 กุมภาพันธ์ ในประวัติศาสตร์ เป็นวันที่วีรชนบางระจันในยุคนั้นพม่าบุกกรุงศรีอยุธยา กวาดต้อนคนไทยไปเป็นทาส มายุคนี้เราต้องต่อสู้กับคนขายชาติ ที่เปิดประตูให้สิงคโปร์เข้ามาซื้อประเทศไทย ต่อไปใครที่มีเงิน 4-5 หมื่นล้านบาท ก็ซื้อประเทศได้ เพราะอ้างความชอบธรรม 19 ล้านเสียง ถ้ารัฐบาลคิดว่ามีเงิน 3,000 บาท จ่ายให้คน 19 ล้านคน เป็นเงิน 38,000 ล้านบาท แล้วเข้ามาปกครองประเทศแล้วขายประเทศ อย่างนี้ใช้ไม่ได้"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิใช้เวลาในการปราศรัยนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนจะระดมแกนนำแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่ง เดินทางไปกับนายสนธิ ยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อยื่นถวายฎีกา ผ่าน พล.อ.เปรม อีกส่วนหนึ่งแยกเดินทางไปกับ น.ส.สโรชา เพื่อเดินทางไปยังสำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง โดยมีการเคลื่อนขบวนในเวลา 20.50 น. ผู้ชุมนุมกว่า 1,000 คน ตั้งแถวเดินถือธงเหลือง พร้อมกล่าวตะโกนคำว่าออกไป ออกไป ลั่นท้องถนน

**ฎีการะบุนายกฯก่อปัญหาวิกฤตร้ายแรง

จากนั้นนายสนธินำคณะได้เดินทางนำหนังสือที่จะถวายฎีกาในหลวงไปยื่นผ่าน พล.อ.เปรมที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ โดยได้รับอนุญาตให้เข้าไปเพียงลำพังคนเดียวซึ่งมี พล.ร.ท.พะจุณณ์ หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นผู้รับหนังสือแทน ขณะที่ น.ส.สโรชา ไปยื่นที่สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง โดยในหนังสือฎีการะบุตอนหนึ่งว่า "...นายกรัฐมนตรีท่านนี้คือปัญหาของแผ่นดิน เป็นผู้ก่อปัญหาวิกฤตร้ายแรงของชาติอย่างน่าวิตกและสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง หากปล่อยให้บริหารบ้านเมืองอยู่อีกต่อไป ก็มีแต่จะก่อความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างสุดที่จะประมาณได้ ประชาชนผู้รักชาติบ้านเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันมิชอบก็จะถูกกดขี่ ข่มเหง รังแก ปองร้าย และย่ำยีบีฑาไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยความอาฆาตมาดร้าย ดังที่ได้กระทำกับประชาชนและบุคคลต่างๆ มาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า.."

**ม็อบบางส่วนไม่กลับรอฟังสนธิต่อ

ต่อมาเวลา 20.30 น. นายสนธิพูดจบประชาชนบางส่วนเริ่มทยอยเดินทางออกจากบริเวณชุมนุม แต่ส่วนใหญ่ยังคงนั่งรอฟังการอภิปรายจากคนอื่นๆ ต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมยังคงนั่งรอฟังปราศรัย เพราะนายสนธิบอกว่าจะขึ้นเวทีพูดอีกหลายรอบ อีกทั้งโฆษกบนเวทีบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวนายสนธิจะกลับมาและอยู่สู้ร่วมกันจนกว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะออกไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงพักการปราศรัยนี้ ผู้ชุมนุมจำนวนมากลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ และเปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้แถวของผู้รอเข้าห้องน้ำยาวเหยียด โดยเฉพาะรถสุขาที่เป็นห้องน้ำหญิงมีไม่พอกับจำนวนคนใช้บริการ เพราะมีเพียง 6 คันเท่านั้น ขณะที่คนไปรอมีเป็นร้อยๆ คน

เวลา 21.00 น. หลวงปู่พุทธอิสระ ขึ้นเวทีปาฐกถาธรรม สลับกับการอภิปรายของคนอื่นๆ เพื่อช่วยให้จิตใจของคนร่วมชุมนุมผ่อนคลายลง

**"แม้ว"ด่าอีก"กุ๊ย"คุมม็อบ

ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ เวลา 20.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางไปร่วมงานเลี้ยง "ปิ๊กมงฟอร์ตบ้านเฮา" ที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จากนั้นได้ขึ้นกล่าวบนเวทีเป็นภาษาคำเมือง ท่ามกลางศิษย์เก่าโรงเรียนมงฟอร์ตกว่า 500 คน ว่า "สิ่งที่ผมได้จากมงฟอร์ตคือ ทำให้ไม่เป็นคนโง่ เพราะมงฟอร์ตสอนให้รู้จักวิเคราะห์เป็น และมีจินตนาการ สอนให้เคารพกติกาสังคม แต่คนที่อยู่ที่ลานพระรูป คือคนที่ไม่เคารพกติกาสังคม หากสังคมใดปล่อยให้กุ๊ยนำคน และไม่เคารพกติกา สังคมก็อยู่ไม่ได้ ภายใต้การนำของผม จะไม่ยอมให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง"

"คนลองมาเป็นนายกฯ แล้วจะทำไม่ดี ก็มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดแบบนี้ คนเป็นนายกฯคิดแต่เรื่องดีๆ ปล่อยให้พวกรู้น้อย พูดมาก มันน่ารำคาญ จึงต้องพูดให้รู้แล้วรู้รอดไป เกิดเป็นคนไทยต้องมีวินัยต่อประเทศ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนมงฟอร์ตประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับไปพักที่บ้านพักส่วนตัว หมู่บ้านกรีนย์วัลเล่ย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

หน้า 1


หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ

Friday, February 03, 2006

พล.อ.เปรมย้ำ "ไม่แบ่งฝ่าย"

ชี้"4ก.พ."อดีตน่าจะสอนอะไรบ้าง กรณี"จำลอง-สุจินดา"เป็นบทเรียน

ประธานองคมนตรี ให้ข้อคิดระหว่างผู้บริหาร"มติชน"เข้าพบ ยกเหตุการณ์ในอดีต 14ตุลา กรณี"จำลอง-สุจินดา" ชี้เป็นบทเรียนที่ดีว่า "เราจะทำอย่างนั้นอีกไหม" เผย"ไม่ได้แบ่งฝ่าย ทักษิณหรือสนธิ" ย้ำไม่เกี่ยวข้อง แนะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงยึด 3 หลัก รู้จักพอประมาณ-ตรึกตรองข้อดีข้อเสีย-ปัจจัยความเสี่ยง


เมื่อวัน ที่ 2 กุมภาพันธ์ คณะผู้บริหารบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) โดยนายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท ได้เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือประวัติและผลงานของ พล.อ.เปรม ที่จะมีการชำระและเพิ่มเติมข้อมูลใหม่

ทั้งนี้ภายหลังการหารือดังกล่ าว คณะผู้บริหารบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ได้ขออนุญาตสอบถามความเห็นของ พล.อ.เปรม กรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุม ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จะยื่นถวายฎีกาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่าน พล.อ.เปรม

ซึ่งประธานองคมนตรี ได้แจ้งว่า"หากพูดไป คล้ายๆ ว่า เป็นผู้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่ เพราะมาพบปะเรื่องอื่น"

อ ย่างไรก็ตามคณะผู้บริหารบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งว่า อยากจะได้หลักคิดเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ 4 กุมภาพันธ์ บานปลายเป็นผลเสียแก่ประเทศ พล.อ.เปรมจึงกล่าวว่า

"ผมไม่ค่อยมีข้อ มูลที่จะมาประกอบในการคิดอะไร เพราะไม่ได้ตามว่าคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ทำอะไร คุณสนธิ (นายสนธิ ลิ้มทองกุล) ทำอะไร แต่ผมคิดว่า อดีตน่าจะสอนเขาบ้างว่า ที่ทำมาดีหรือไม่ดีอย่างไร ตั้งแต่ 14 ตุลา (เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516) ซึ่งไม่ต้องพูดเพราะเป็นเรื่องที่เขามีเหตุมีผล แต่ กรณีคุณจำลอง (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) กับคุณสุจินดา (พล.อ.สุจินดา คราประยูร) นี่ เป็นบทเรียนที่ดีว่า เราจะทำอย่างนั้นอีกไหม"

เมื่อคณะผู้บริหารบริษ ัทขอนุญาตนำคำพูดนี้ไปเผยแพร่ พล.อ.เปรม จึงได้กล่าวว่า" ถ้าจะเอาไปลงหนังสือพิมพ์ละก็ ขอเพียงแต่บอกว่า ทำอย่างไรให้รู้ว่า ไม่ได้แบ่งฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายคุณทักษิณ หรือคุณสนธิ" และได้พูดทีเล่นทีจริงว่า"(วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์) ก็คอยดูว่าผมจะอยู่หรือไม่ จริงๆ ผมไม่เกี่ยวข้อง คุณสนธิก็พูดเอาเองว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็ฟังบ้าง อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง และผมไม่รู้ว่าคุณสนธิจะเสนออะไรบ้าง"

จากนั้น พล.อ.เปรม ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ว่าจะต้องถือหลัก 3 ประการ คือ 1)คนเราทำอะไรต้องรู้จักพอประมาณ เช่นประเมินว่าศักยภาพของเราเป็นอย่างไร มีเงินเท่าไหร่ และนอกจากมีเงินแล้ว มีอะไรอีกบ้าง เช่น มีที่ดิน 10 ไร่ หรือ 100 ไร่ ฯลฯ 2)ต้องมีเหตุผล ต้องตรึกตรอง ข้อดี-ข้อเสีย ว่ามีอะไรดีบ้าง อะไรเสียบ้าง 3)สิ่งที่ตัดสินใจลงมือทำ ต้อง"ภูมิคุ้มกันความเสี่ยง" ถ้าประเมินว่า ถ้ามีปัญหามีปัญหาขึ้นมา จะแก้ไขให้เสียหายน้อยที่สุดอย่างไร ต้องคิดเรื่องเวลา ปัจจัยและความเสี่ยงคืออะไร

"ความรู้ทั้ง 3 ประการนี้ไม่ได้นำไปใช้ได้เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น เรื่องการศึกษา เรื่องวัฒนธรรมก็นำไปใช้ได้" พล.อ.เปรมกล่าว เมื่อถามว่า เรื่องการเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้หรือไม่ พล.อ.เปรมกล่าวว่า นำไปใช้ได้เหมือนกัน ต่อคำถามที่ว่าหากคู่เจรจาไม่ยอมพอเพียงด้วยจะทำอย่างไร พล.อ.เปรม กล่าวว่า "ถ้าเขาไม่พอเพียง เราไม่พอใจ เราก็ไม่ต้องทำก็ได้"

พล.อ.เ ปรม ยังได้กล่าวถึงการไปเป็นประธานในพิธีประกาศเจตนารมณ์ขององค์กรประชาสังคมเพื ่อสันติภาพ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2549 ที่หอประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ว่า การประการเจตนารมณ์ของคนในพื้นที่ครั้งนี้ น่าจะช่วยให้ทหารและตำรวจทำงานง่ายขึ้น จะได้ข่าวสารจากคนที่มาร่วมประกาศเจตนารมณ์มากขึ้นเพราะคนเหล่านี้เป็นผู้ให ญ่รู้จักเด็กๆ แต่ละกลุ่มเป็นอย่างดี

"แต่เราต้องเข้าใจก่อนนะว่า สันติภาพไม่ใช่การหยุดยิงทันที ต้องเข้าใจว่าการก่อเหตุร้ายยังต้องคงมีอยู่ เพราะทุกที่ต้องมีปัญหาโจรผู้ร้าย มีการฆ่ากัน ซึ่งก็ต้องควบคุมดูแลไป แต่สิ่งการที่ผมไปร่วมพิธีครั้งนี้ ผมได้พูดชัดเจนว่า เขาต้องเข้าใจเรา เราต้องเข้าใจเขา เขาต้องบอกว่าเราทำอะไรผิด เราก็จะบอกเขาว่าทำอะไรผิด จากนั้นมาคุยกันว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปราบปราม ปล่อยให้เป็นเรื่องของทหาร-ตำรวจทำ แต่การทำเช่นนี้จะทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานง่ายขึ้น" พล.อ.เปรมกล่าว

หน้า 1

บรรยายภาพ
พบ"ป๋า" - นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหาร "มติชน" เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือประวัติและผลงานของ พล.อ.เปรม ที่จะชำระและเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ บ้านสี่เสาเทเวศร์

หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ

Friday, January 27, 2006

ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นป.ป.ช.9คน

ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากวุฒิสภาให้เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริ ตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 9 คน ประกอบด้วย 1.พล.ต.อ.ดรุณ โสตถิพันธุ์ อดีตที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2.พล.ต.ท.วันชัย ศรีนวลนัด อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 3.พล.อ.เกษมชาติ นเรศเสนีย์ อดีตประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม 4.นายศิวะ แสงมณี อดีตอธิบดีกรมการปกครอง 5.นายไสว จันทะศรี อดีตรองประธานศาลฎีกา 6.นายสมศักดิ์ แก้วสุทธิ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 7.นายสุรพล เอกโยคยะ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา 8.นางแน่งน้อย ณ นคร อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ 9.นายสมโภชน์ กาญจนาภรณ์ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

ส่วนผู้ที่ผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหากรรมการ ป.ป.ช. อีก 9 คนที่ไม่ได้รับการคัดเลือก ประกอบด้วย 1.นายประเสริฐ เขียนนิลศิริ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลเยาวชน จ.ขอนแก่น 2.นายคัมภีร์ แก้วเจริญ อดีตอัยการสูงสุด 3.ดร.ภักดี โพธิศิริ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) 4.นายกุลพัชร์ อิทธิธรรมวินิจ อดีตหัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลฏีกา 5.นางสัจจา ศศะนาวิน อดีตรองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน 6.พล.ท.พิชาญเมธ ม่วงมณี อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 7.นายสันติ บางอ้อ อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) 8.นายภิรมย์ สิมะเสถียร อดีตรองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ 9.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ขอถอนตัวไปก่อนที่จะมีการลงคะแนน

หน้า 14



หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ28 ม.ค.2549

ยันไม่พบบิ๊กล็อต329ล.หุ้นชิน จี้เลขาฯ"อ้อ"แจง

"ทักษิณ"ปิดปาก-บิ๊กตลท.หลบ ปชป.เย้ยเงียบเพราะตอบไม่ได้

"แม้ว"ปิดปากพูดเรื่องขายหุ้นชินฯ บิ๊กตลาดหุ้นหลบฉากเป็นแถว ไม่ตอบคำถามกรณีหุ้นชินฯโผล่ลึกลับผ่าน"แอมเพิล ริช" ตรวจสอบแล้วแอมเพิลฯไม่มีการขาย"บิ๊กล็อต"ผ่านตลาดหุ้น ทำรายงานเสนอ ก.ล.ต.ดำเนินการแล้ว ปชป.ประชุมนัดแรกแกะรอยขายหุ้นชินฯทุกประเด็น "กรณ์"ขย่ม"ทักษิณ"ไม่กล้าตอบเรื่อง"แอมเพิลฯ" ส.ว.เจ็บปวดให้สิงคโปร์ยึดไอทีวี-ไทยคม เรียกร้องภาคประชาชนทวงคืน สภาทนายความระบุประเทศอื่นๆ ให้ต่างชาติถือกิจการโทรคมได้ไม่เกิน 20%

@ "แม้ว"ยังถูกรุมซักปมขาย"ชิน"

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงถูกผู้สื่อข่าวเกาะติดซักถามกรณีขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ให้กับเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ จากสิงคโปร์ มูลค่า 7.33 หมื่นล้านบาท ท่ามกลาง "ปม" ใหม่ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการ "อำพราง" กรณีมีหุ้นของชิน คอร์ป โผล่เพิ่มขึ้นมาอย่างปริศนา 329 ล้านหุ้น โดยเชื่อว่าเป็นหุ้นที่ถูกถือไว้ในนามบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ จำกัด ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณถือหุ้นอยู่ 100% ก่อนที่แอมเพิล ริช จะขายคืนให้กับนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา บุตรชายและบุตรสาวในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท และนำมาขายให้เทมาเส็กหุ้นละ 49.25 บาท ทำให้ได้กำไรเกือบ 1.6 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ทันทีที่มาถึง พ.ต.ท.ทักษิณได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่รอสัมภาษณ์ว่า "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" จากนั้นได้เดินขึ้นห้องทำงานโดยไม่ตอบข้อซักถามใดๆ

ต่อมา ในเวลา 13.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินจากตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อไปพบคณะแพทย์ พยาบาลอาสาสมัครไทยและนานาชาติ และผู้ป่วยจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ตึกสันติไมตรี เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเห็นผู้สื่อข่าวได้กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า "ไปกินขนมเข่งกัน" จากนั้นได้ตอบข้อถามผู้สื่อข่าวถึงการเรียกประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนในวันที่ 28 มกราคมเพียงสั้นๆ ว่า "คงจะคุยเรื่องการทำงานร่วมกัน และการสนับสนุนเจ้าหน้าที่เป็นหลัก ไม่มีการหารือพื้นที่จะลงไปวางแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนรอบ 2"

ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกผิดหวังกับกระแสตอบรับภายหลังตระกูลชินวัตรขายหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมตอบคำถามและรีบเดินฝ่าวงล้อมของสื่อข่าวไปทันที

@ "เลี้ยบ"ไม่ตอบ"ซุกหุ้นภาค2"หรือไม่


นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการขายหุ้นชินคอร์ปของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อาจจะส่งผลต่อภาพพจน์ของรัฐบาล ว่า เป็นเรื่องที่นายกฯพูดชัดเจนแล้วว่าต้องการทุ่มเทงานทางด้านการเมืองให้เต็ม ที่ จะได้ไม่มีประเด็นปัญหาที่จะถูกกล่าวหาว่าไปมีผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนเรื่องกระบวนการเจรจาซื้อขายหรืออะไรหลังจากนี้ ทุกอย่างก็ยึดหลักของกฎหมาย ถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ เพราะนายกฯเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องยอมรับการตรวจสอบได้อยู่แล้ว ดังนั้น หากมีอะไรที่ต้องชี้แจงก็ต้องชี้แจงเพื่อให้เกิดความกระจ่าง

ผู้สื่อ ข่าวถามว่า ขณะนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการ "ซุกหุ้นภาค 2" นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนในการเจรจาซื้อขายหุ้นซึ่งมีข้อมูลน่าจะได้ออกมาชี้แ จงให้ละเอียด เพราะถ้ายังมีความคลาดเคลื่อนก็จะได้ทำความกระจ่างให้กับสาธารณชน เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการขายหุ้นครั้งนี้แล้ว ในส่วนของรัฐบาลจะดำเนินการอะไรหรือไม่ นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้มีข้อมูลการเจรจาซื้อขายหุ้น ดังนั้น คงไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ แต่ที่จะเกี่ยวข้องคงเป็นกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถ้ามีข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างไรก็ต้องชี้แจงไป

@ บิ๊กตลท.หลบฉากปม"แอมเพิล ริช"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีที่กองทุนแอมเพิล ริช ขายหุ้นชินจำนวน 329 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ให้กับนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ) ได้แจ้ง ก.ล.ต.ตามแบบฟอร์มรายงานการขายหุ้นว่าได้ทำรายการซื้อขายหุ้นดังกล่าวผ่านตล าดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีรายการซื้อขายดังกล่าวนั้น

ผู้สื่อข่าวรา ยงานว่า ได้พยายามสอบถามไปยังผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ น.ส.โสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ นายสุทธิชัย จิตรวณิชย์กุล รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ แต่ถูกปฏิเสธ โดยหน้าห้องแจ้งว่าติดประชุม

@ ไม่พบ"แอมเพิลริช"แจ้งขายในตลท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ ได้รับแจ้งว่าตลาดหลักทรัพย์ได้ตรวจสอบรายการซื้อขายหุ้นชินฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ตามที่ ก.ล.ต.ได้สอบถามมา และไม่พบรายการซื้อขายในจำนวนที่แอมเพิล ริช แจ้งขายให้กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ทั้งในกระดานต่างประเทศ (Foreign Board) และกระดานซื้อขายรายการใหญ่ (Big lot) แต่อย่างใด จึงได้ยืนยันกลับไปที่ ก.ล.ต.แล้วว่าไม่มีรายการดังกล่าวจริง และเป็นหน้าที่ของ ก.ล.ต.ที่จะสอบถามข้อเท็จจริงไปยังผู้รายงาน และเป็นอำนาจของ ก.ล.ต.ที่จะดำเนินการต่อไป

รายงานข่าวจาก ก.ล.ต.แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้ประสานงานกับตลาดหลักทรัพย์และพบว่าไม่มีรายการซื้อขาย Big Lot ในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 20 มกราคม จึงได้สั่งการให้ผู้รายงานชี้แจงข้อเท็จจริงกลับมา และปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอการชี้แจง จึงจะทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยคาดว่าจะได้รับการชี้แจงข้อเท็จจริงในวันที่ 30 มกราคมนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากรายการซื้อขายดังกล่าวเป็นการดำเนินการในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งแอมเพิล ริช และนายพานทองแท้ กับ น.ส.พิณทองทา จะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับโบรกเกอร์ในอัตรา 0.25% ของมูลค่าซื้อขาย หรือเท่ากับ 822,500 บาท ดังนั้น หากไม่พบรายการซื้อขาย ก็แสดงว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายดังกล่าว

@ เลขาฯ"พจมาน"ยังไม่แจ้งก.ล.ต.

จากกรณีที่นางกาญจนาภา หงษ์เหิน(เลขานุการคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยานายกรัฐมนตรี) แจ้ง ก.ล.ต.ว่าเมื่อวันที่ 20 มกราคม บริษัทแอมเพิล ริช ขายหุ้น SHIN จำนวน 329.2 ล้านหุ้นให้แก่ น.ส.พิณทองทาและนายพานทองแท้ ชินวัตร โดยระบุว่าเป็นการซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่ปรากฏในกระดานซื้อขาย ซึ่ง ก.ล.ต.ระบุว่าได้แจ้งให้นางกาญจนาภาชี้แจงข้อมูลแล้วนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต.เกี่ยวกับการชี้แจงข้อมูลดังกล่าว พบว่า ก.ล.ต.ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการชี้แจงข้อมูล ซึ่งจนถึงขณะนี้ ก.ล.ต.ยังไม่ได้รับการติดต่อจากนางกาญจนาภาแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าว "มติชน" ได้พยายามติดต่อไปยังนางกาญจนาภา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ โดยบุคคลใกล้ชิดของนางกาญจนาภาอ้างว่าจะติดต่อกลับภายหลัง

@ "ทนง"ไม่รู้ไม่เห็น"แอมเพิล ริช"

นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงบริษัทแอมเพิล ริช ซึ่งขายหุ้นให้กับบุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีความผิดปกติว่า ตนไม่รู้เรื่อง และที่ผ่านมาคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ก็ยังไม่ได้รายงานใ ห้ทราบแต่อย่างใด

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า จะมีการติดตามหรือสอบถามเพิ่มเติมจาก ก.ล.ต. หรือตลาดหลักรัพย์หรือไม่ นายทนงปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ได้แต่ส่ายหน้า และตอบว่าไม่รู้

@ ปชป.ประชุมนัดแรกแกะรอยขาย"ชิน"

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานประชุมคณะทำงานศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการขายหุ้นของครอบครัวชิน วัตร โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมประชุมด้วย

ภายหลังการประชุม นายกรณ์เปิดเผยว่า เป็นการประชุมครั้งแรก โดยรวบรวมประเด็นที่หลากหลาย ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีประสบการณ์ โดยได้แบ่งงานให้แต่ละคนไปทำ เพื่อตรวจสอบว่าการขายหุ้นและแต่ละขั้นตอนเพื่อนำไปสู่การขายหุ้นครั้งนี้ถู กต้องทั้งในแง่กฎหมาย ประเพณี และความชอบธรรมในทุกแง่มุมหรือไม่ รวมทั้งเหตุที่ครอบครัวของผู้ขายมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยนั้นก็ต้องดูว่า มีการใช้อำนาจของรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ซื้ออย่างไรหรือไม่ เพราะถ้าเกิดขึ้นจริงตามนั้น นอกจากประเทศไม่ได้อะไรจากการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ประเทศก็จะมีความเสียหายด้วย เพราะต้องยอมรับว่าการที่สิงคโปร์มาซื้อนั้นก็ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์และธุ รกิจ โดยในเชิงยุทธศาสตร์ สิงคโปร์มีความต้องการที่หลากหลายจากประเทศไทยอยู่แล้ว ทั้งในแง่ธุรกิจและความมั่นคงของประเทศสิงคโปร์ หากสิงคโปร์จะใช้โอกาสในการซื้อหุ้นส่วนนี้จากครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะเจรจาต่อรองขอสิทธิประโยชน์และสิทธิพิเศษ ก็ไม่แปลกใจ ซึ่งหากมีการมอบสิทธิพิเศษให้แก่สิงคโปร์จริง ก็เป็นการกระทำที่มิชอบ เพราะการขายหุ้นเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว

@ รุกปมแก้กม.โทรคม-โอนหุ้นให้ญาติ

นายกรณ์กล่าวว่า การย้อนดูข้อมูลของคณะทำงานนั้นต้องดูว่ารัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณเองที่แก้ไขให้ต่างชาติถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคม 49% ต่อมาปรับลดเป็น 25% เพื่อสกัดการเข้ามาของทุนต่างประเทศในบริษัทคู่แข่ง แต่พอตัวเองเริ่มมีแนวคิดที่จะขายหุ้น ก็เห็นสมควรแก้กฎหมายให้กลับมาอยู่ระดับเดิม คือ 49% โดยเฉพาะเมื่อดูถึงจังหวะในการแก้กฎหมายนี้ก็มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนที่แก้เพื ่อเอื้อการขายหุ้นของครอบครัวตัวเองตามข่าวที่ปรากฏ ซึ่งก็คือผลประโยชน์ทับซ้อน และจะย้อนดูการโอนหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาไปสู่ญาติ เป็นประเด็นที่มีข้อครหาต่อเนื่อง ยังไม่ชัดเจน และกรมสรรพากรตีความสับสนมาก จะเป็นโอกาสที่พรรคจะตรวจสอบในแง่ของความถูกต้องของการทำงาน เพื่อพิสูจน์ว่าทั้งหมดนี้องค์กรต่างๆ ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัดหรือไม่ หรือมีการกระทำหรือวินิจฉัยในเรื่องต่างๆ ที่เอื้อต่อการขายหุ้นครั้งนี้หรือไม่

"นอกจากนี้ การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ทำไมฝ่ายกำกับไม่ปฏิบัติตามหน้าที่เท่าที่ควร หากถามว่ามีการปล่อยข่าวโดยตั้งใจให้เป็นที่รับรู้ว่าจะเป็นการขายหุ้นเพื่อ สร้างราคาหุ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาหรือไม่ ก็ต้องดูในแง่ของการออกข่าวและต้องดูลำดับของการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น" นายกรณ์กล่าว และว่า ทั้งนี้ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ คณะกรรมาธิการ(กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎรได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานมาชี้แจงข้อมูลที่สภ า ในเวลา 09.30 น.

@ เหน็บ"แม้ว"ไม่กล้าตอบเรื่อง"แอมเพิลฯ"

ส่วนกรณีที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า จะมีการซุกหุ้นเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง อันเนื่องจากการให้บริษัทแอมเพิล ริช ถือหุ้นไว้แทนก่อนนำออกขายนั้น นายกรณ์กล่าวว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นหนึ่งที่ต้องศึกษา เพราะเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก แต่ก็สลับซับซ้อนพอสมควร โดยจะหารือกับนายกอร์ปศักดิ์ในวันที่ 28 มกราคม

ผ ู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นที่ซุกหุ้นครั้งนี้จะแตกต่างกับประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินแล้ วหรือไม่ นายกรณ์กล่าวว่า สรุปอย่างนั้นก็ได้ คิดว่าคำถามง่ายๆ คือ ทำไมบริษัทต่างชาติบริษัทนี้จึงขายหุ้นให้แก่ลูกของ พ.ต.ท.ทักษิณในราคาหุ้นละ 1 บาท ซึ่งต้องใช้กระบวนการทางกฎหมาย แต่ด้วยความที่แอมเพิล ริช เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในต่างประเทศ คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ข้อครหานี้ควรจะต้องมีคำตอบ อย่างน้อยต้องมีความพยายามที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริง และคงต้องไปตีความกันเอาเองว่า ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้

@ "กอร์ปศักดิ์"ชี้ไม่ตอบเพราะตอบไม่ได้

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมชี้แจงกรณีที่แอมเพิล ริช ขายหุ้นให้แก่ลูกนายกฯในราคาหุ้นละ 1 บาทว่า เหตุที่ไม่ชี้แจงเพราะตอบไม่ได้ ตอนนี้จึงไม่สนใจแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะตอบอย่างไร แต่ต้องการเรียกร้องหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธป ท.) คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ที่ต้องดูเรื่องเส้นทางเดินของเงิน เพราะอาจจะเป็นการฟอกเงินด้วย ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ สมกับที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน และทำหน้าที่สมกับเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

@ "มาร์ค"ถามแอมเพิลฯเป็นใคร"ใจดีจัง"

นายอภิสิทธิ์ เวชชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว อยากถามว่า บริษัท แอมเพิล ริช เป็นของใคร ทำไมถึงใจดีขายหุ้นชินให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ในราคาหุ้นละ 1 บาท เพื่อมาขายในราคาหุ้นละ 49 บาทกว่า ภายใน 3 วัน ซึ่งเป็นความผิดปกติที่จะต้องตรวจสอบ และเป็นประเด็นปัญหาที่สืบเนื่องมาตั้งแต่คดีซุกหุ้น โดยตอนนั้นเคยมีคำวินิจฉัยของกรมสรรพากรที่มีคำโต้แย้งกันในเรื่องคำวินิจฉั ยว่า เอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจหรือไม่ และเคยมีการโอนหุ้นในหมู่ญาติด้วยกันในราคาถูก เพราะในอดีตกรมสรรพากรเคยวินิจฉัยว่า ได้หุ้นมาในราคาถูกนี้ต้องเสียภาษี ก็เหมือนกับมีรายได้เพิ่มเข้ามา แต่พอกรณีนี้กลับวินิจฉัยว่าไม่ต้องเสียจนกว่าจะมีการขาย เพราะว่ากำไรยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง และวันนี้เมื่อขาย กรมสรรพากรกลับบอกว่าขายในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสีย

"ทั้งที่มีจังห วะที่ต้องเสียภาษีเกิดการโอน 2 ครั้ง แล้วเอาเหตุผลเดียวมาลบกันไปลบกันมาจนไม่ต้องเสียแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะออกคำวินิจฉัยใหม่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อจะมารองรับตรงนี้ด้วย" นายอภิสิทธิ์กล่าว

@ ซัดสรรพากรสร้างบรรทัดฐานที่แย่

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในเรื่องของกรมสรรพากรจะเป็นปัญหาบรรทัดฐานเป็นทางเลี่ยงภาษี จะมีการเปิดช่องให้เกิดการเลี่ยงภาษีกันมากมายทั้งๆ ที่กรมสรรพากรก็รณรงค์กันอยู่ที่ให้ทุกคนช่วยกันเสียภาษี มีการบ่นกันมากตั้งแต่ประชานิยมมีการไล่เก็บภาษีกันมากมายไปหมด แต่ว่าเงินก้อนใหญ่ตรงนี้กลับหายไป แม้ว่าจะบอกว่าไม่ผิด แต่สิ่งที่ทำด้วยเจตนาที่จะไม่เสียภาษี เพราะถ้าเลือกเสียภาษีก็จะมีเงินที่ไปช่วยคนยากจนได้เป็นพันเป็นหมื่นล้าน ในส่วนการทำงานของพรรค คาดว่าคณะทำงานจะรวบรวมข้อมูลได้ภายใน 1 เดือน ซึ่งจะชี้ชัดได้ว่าเจตนาที่แท้จริงคืออะไร เกี่ยวข้องกับใคร หรือหน่วยงานใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ และหลังจากนี้ก็จะทำหนังสือถึง ก.ล.ต.เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดการขายหุ้นครั้งนี้ด้วย

@ ธปท.ชี้ช่องตรวจ"แอมเพิล ริช"

นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ต้องการ ธปท.ตรวจสอบการนำเงินออกนอกประเทศของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่บริษัทแอมเพ ิล ริช อินเวสต์เม้นท์ ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นให้กับบุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในราคาหุ้นละ 1 บาท ว่า ตามพระราชบัญญัติ ธปท.กำหนดว่าหากจะตรวจสอบต้องตรวจทั้งหมดไม่ทำเฉพาะราย แต่หากทำเรื่องขอมาคงจะต้องพิจารณาอีกครั้ง แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครขอให้ ธปท.ดำเนินการตรวจสอบการนำเงินออกประเทศแบบเฉพาะราย

นายเกริกกล่าวว่ า อีกทางหนึ่งที่จะน่าจะเป็นทางออกได้ คือ ทางกลุ่มองค์กร อย่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา ใช้อำนาจของตัวเองขอความร่วมมือจาก ธปท.ในลักษณะการส่งผู้เชี่ยวชาญไปให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่นๆ ที่สามารถตรวจสอบทางเดินเงินที่ผิดปกติได้ เช่น สำนักป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกรมสรรพากร

@ สภาทนายชี้ปท.อื่นให้ถือไม่เกิน25%

นายเดชอุดม ไกรฤกษ์ นายกสภาทนายความ เปิดเผยว่า สภาการหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ขอความร่วมมือกับสภาทนายความให้พิจารณาจัดทำคำแถลงการณ์ต่อประชาชนเกี่ยว กับการขายหุ้นของครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ เนื่องจากเห็นว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงและการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดยอยู่ระหว่างการยกร่างผลสรุปรายงานวิชาการเกี่ยวกับการศึกษาปัญหาภาษีอากร สำหรับการเสียภาษีของบุคคลธรรมดา กรณีเงินได้ที่ได้นอกตลาดหลักทรัพย์และเงินได้ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะแถลงในวันที่ 30 มกราคมนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของความมั่นคงคิดว่าเป็นผลจากการแก้ไขพระราชบัญญัติโทรคมนาคม (ให้ต่างชาติถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคมได้เพิ่มขึ้น จากไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 49%) และการถือหุ้นไขว้กันไปมาทำให้ราคาหุ้นที่ซื้อขายสูงกว่าปกติ หากเป็นเรื่องของเอกชนเพียงอย่างเดียว คงจะไม่มีใครว่าอะไร แต่การซื้อขายหุ้นโทรคมนาคมตามมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่ากิจการโทรคมนาคมเป็นของสาธารณะจะต้องมีการตรวจสอบ เนื่องจากมีผลกระทบต่อความมั่นคงและถือเป็นเรื่องอ่อนไหว

"นอกจากนี้ ทุกประเทศที่เทมาเส็กเข้าไปซื้อกิจการด้านโทรคมนาคมก็จะได้รับสิทธิในการถือ หุ้นไม่เกิน 20% เท่านั้น โดยรัฐบาลประเทศนั้นๆ ให้เหตุผลว่าเพื่อความมั่นคง" สภาทนายความระบุ

@ ชี้"สุดยอดนักภาษี"ช่วยวางแผนเลี่ยง

นายเดชอุดมกล่าวอีกว่า กรณีประโยชน์สาธารณะ ทางคณะศึกษาของสภาทนายความให้ความสนใจกับเรื่องหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดห ลักทรัพย์ เนื่องจากกฎหมายของตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่ซื้อขายในตลาดหล ักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี เพื่อกระตุ้นให้มีการลงทุน แต่กรณีนี้ครอบครัวของนายกรัฐมนตรีจะต้องมีทรัสตี (Trustee-ผู้ดูแลทรัพย์สินหรือมรดก) เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยินยอม เพราะอาจกลัวเสียค่าธรรมเนียม จึงนำสินทรัพย์ทั้งหมดออกมานอกตลาด ซึ่งขณะนั้นประเมินเป็นหุ้น แต่ในการขายหุ้นครั้งนี้ใช้การประเมินเป็นหลักทรัพย์ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีใน การซื้อขาย

ประเด็นสำคัญของกฎหมายไทยในประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1)ระบุไว้ชัดเจนว่า การจำหน่ายจ่ายโอนสินค้าจะต้องมีการตกลงก่อนที่จะมีการโอนและเมื่อมีการตัดส ินใจให้ถือว่ามีการส่งมอบแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ควรจะตามกันต่อไปคือ ดูว่าวันที่ครอบครัวชินวัตรมีการส่งมอบหุ้นในมือให้กับโบรกเกอร์ เพื่อนำไปจำหน่าย มีการขายแล้วหรือไม่

"ไม่มีกฎหมายของประเทศใดที่ ยอมให้ทรัพย์สินตัวเดียวกัน วันนี้เป็นหุ้น พรุ่งนี้เป็นหลักทรัพย์ เพราะหากกฎหมายถูกแปลความเช่นนี้ จะทำให้ประชาชนทุกรายทำตามนายกรัฐมนตรี เพื่อไม่ต้องเสียภาษี ดีลครั้งนี้วางแผนโดยนักภาษีอย่างเต็มรูปแบบ โดยไม่มีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงจากหุ้นเป็นหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการพูดไม่หมด ขณะที่บทบาทของกรมสรรพากรก็ไม่มีสิทธิพูดแทนอะไร แต่กรมสรรพากรควรทำหน้าที่ประเมินสิ่งที่เกิดขึ้น" นายเดชอุดมกล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ถือว่าครอบครัวชินวัตรกระทำผิด จนกว่าจะถึงเดือนมีนาคม 2550 (ครบรอบปีภาษี) จึงจะรู้ว่าวิธีการซื้อขายหุ้นจะต้องเสียภาษีหรือไม่

@ ส.ว.เจ็บปวดให้สิงคโปร์ยึดไอทีวี-ไทยคม

ที่รัฐสภา นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานี ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีบริษัทชินขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ ทำให้กลุ่มดังกล่าวเข้ามาถือหุ้นในสถานีโทรทัศน์ไอทีวีด้วย ว่าขอเรียกร้องให้ภาคประชาชนและกลุ่มทุนในประเทศหาแนวทางที่จะขอซื้อหุ้นของ บริษัทไอทีวีจำกัด (มหาชน) กลับคืนจากกลุ่มทุนสิงคโปร์ เพื่อป้องกันการครอบงำสื่อของทุนข้ามชาติ

"ที่เจ็บปวดคือ การขายชิน คอร์ป แล้วแถมไอทีวีไปด้วย ซึ่งต้องไม่ลืมว่าไอทีวีเกิดขึ้นจากเหตุการณ์พฤษภา 2535 ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า สื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อสาธารณะ สื่อธุรกิจ หรือภาคประชาชนมีโอกาสถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนและการเมืองได้ตลอดเวลา ที่น่ากลัวคือการเชื่อมโยงกับทุนข้ามชาติให้เข้ามาครอบครอง ดังนั้น แนวทางในการจะทำ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ต้องมีการกำหนดสาระสำคัญที่ จะป้องกันกลุ่มทุนข้ามชาติไม่ให้เข้ามาครอบครองสมบัติของชาติได้" นพ.นิรันดร์กล่าวว่า นอกจากนี้ดาวเทียมไทยคมที่ถูกขายไปด้วยในครั้งนี้ น่าติดตามถึงผลกระทบต่อความมั่นคงและทรัพยากรของประเทศอีกประการหนึ่ง "ไทยคม" เป็นชื่อพระราชทาน

@ โพลเชื่อใช้อิทธิพลการเมืองเอื้อขายชิน

วันเดียวกัน สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอผลสำรวจเรื่อง "ความนิยมของประชาชนต่อภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี ภายหลังการขายหุ้นชินฯ" โดยสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนทั่วไป ในเขตกรุงเทพมหานคร 1,168 คน พบว่า ประชาชน ร้อยละ 38.7 หรือเกินกว่า 1 ใน 3 ระบุว่า การขายหุ้นของชินฯให้กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เป็นทั้งเรื่องของธุรกิจภายในครอบครัวของนายกรัฐมนตรี และเรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ ส่วนร้อยละ 66.3 เชื่อว่าเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่ระบุให้ชาวต่างชาติสามารถถือหุ้นธุรกิจโทรคมนาคม จากร้อยละ 25 เป็น ร้อยละ 49 สำหรับเอื้อประโยชน์ต่อการซื้อขายหุ้นกับกลุ่มทุนต่างชาติ

@ ไม่เชื่อนายกฯบริจาคมูลนิธิ

นอกจากนั้น ประชาชนยังเห็นว่า มีการใช้อิทธิพลทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจถึง ร้อยละ 60.1 รองลงมาคือ ร้อยละ 50.5 คิดว่าเป็นเพราะการผูกขาดในธุรกิจ กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 59.1 คิดว่าการขายหุ้นชินฯของคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีไม่สามารถลบภาพลักษณ์ผลประโยช น์ทับซ้อนได้ นอกจากนั้น การขายหุ้นชิน คอร์ป ในครั้งนี้ยังกระทบต่อภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 52 ส่วนความคาดหวังที่นายกรัฐมนตรี อาจนำเงินส่วนหนึ่งมาทำประโยชน์ให้กับสังคมกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 62.9 คาดหวังน้อยหรือไม่คาดหวังเลย โดยไม่คาดหวังเงินจากนายกรัฐมนตรี ขณะที่ ร้อยละ 40.7 คาดหวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หน้า 1


หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ 28 ม.ค. 2549

แกะรอย Ample Rich "ทักษิณ"โอนหุ้นปริศนา ใครคือเจ้าของตัวจริง?

บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสต์เมนท์ส (Ample Rich Investments Ltd.) กลายเป็นจุดสนใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้ขายหุ้นบริษัท ขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ให้แก่ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ชินวัตร คนละ 164.6 ล้านหุ้น ราคา 1 บาท/หุ้น (ซื้อขายกันนอกตลาดหลักทรัพย์ แต่แจ้งว่า ทำรายการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์?) และ 2 พี่น้องตระกูลชินวัตรได้นำไปขายต่อให้แก่กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ในราคา 49.25 บาท/หุ้น ได้กำไรถึง 15,883 ล้านบาท

การกระทำดังกล่าวมองว่า เป็นเทคนิคในทางกฎหมายเพื่อเลี่ยงไม่ต้องเสียภาษีในส่วนกำไรของหุ้น เพราะถ้าให้ Ample Rich ขายหุ้นให้แก่กองทุนเทมาเส็กโดยตรงจะต้องเสียภาษีกว่า 3,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงตลาดหุ้นไม่เข้าใจคือ เมื่อ Ample Rich จดทะเบียนจัดตั้งบนเกาะบริติชเวอร์จิ้น ซึ่งกำไรของบริษัทไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ถ้าโอนขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่กองทุนเทมาเส็กโดยทำธุรกรรมกันนอกประเทศก็ไม่ต้ องเสียภาษีอยู่แล้ว แต่กลับโอนหุ้นกันหลายทอด ทำให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนและอาจเกิดความผิดพลาดและทำให้ประชาชนเกิดความส งสัย

ก่อนหน้านี้บริษัท Ample Rich เคยตกเป็นข่าวมาแล้ว เมื่อปลายปี 2543-2544 ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ภริยา ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบว่า กระทำฝ่าฝืน พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 หรือไม่

บริษัท Ample Rich เป็นที่รู้จักของแวดวงนักลงทุนครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 เมื่อนายบุญคลี ปลั่งศิริ กรรมการบริษัท ชินคอร์ป แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ชินคอร์ปได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 23.75% หรือประมาณ 65.84 ล้านหุ้น เหลือ 11.88% หรือประมาณ 32.92 ล้านหุ้น โดยหุ้นที่ลดลง 11.87% นั้น โอนให้ถือในนามของ Ample Rich พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมว่า Ample Rich ถือหุ้นโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 100% ซึ่งผู้ถือหุ้นถือเป็นบุคคลเดียวกันกับเจ้าของเดิม จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นไม่มีผลต่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นทั้งด้านส่ว นตัวและบริษัท

นายบุญคลีอ้างต่อไปว่า การโอนหุ้นใหบริษัท Ample Rich ครั้งนี้เป็นการเตรียมการเพื่อสนับสนุนการที่บริษัทมีความต้องการที่จะประสบ ความสำเร็จในการจัดหาเงินทุนจากต่างประเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริ กา เพื่อนำมาขยายการลงทุนด้านโทรคมนาคมในประเทศไทย ตามที่แจ้ง ตลท. เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2542 ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะนำหุ้นเพิ่มทุนของชินคอร์ปเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพ ย์ประเทศสหรัฐอเมริกาต่อไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีการใช้ Ample Rich เป็นเครื่องมือในการนำหุ้นชินคอร์ปเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแต่อ ย่างใด

แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนคดีซุกหุ้นและ ก.ล.ต.เข้าตรวจกลับพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้โอนหุ้น Ample Rich ที่ถืออยู่ 100% ไปให้บุคคลอื่น (ไม่ทราบว่าเป็นใคร) ไปเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2543 ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2542 บนเกาะบริติช เวอร์จิ้น และมีสถานที่ติดต่ออยู่ที่สิงคโปร์ (รายงานการประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต.เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544)

แต่สำนักงาน ก.ล.ต.เห็นว่า การไม่รายการหรือแจ้งการโอนหุ้น Ample Rich ให้แก่บุคคลอื่น พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีเจตนาปกปิดจึงเห็นควรยุติเรื่อง (ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯมาตรา 246 ไม่รายการการเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นทุกๆ ร้อยละ 5)

ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ พ.ต.ท.ทักษิณได้โอนหุ้น Ample Rich ให้แก่บุคคลใด มีความสัมพันธ์กันในลักษณะใด

เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณโอนหุ้น Ample Rich ไปให้บุคคลอื่น เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมานโอนหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดกว่า 100 ล้านหุ้น ให้แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 แล้ว

รูปแบบการโอนหุ้น Ample Rich ของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงน่าจะโอนให้แก่บุคคลใกล้ชิด ยิ่งเมื่อมาดูกรณีที่ Ample Rich ขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 329.2 ล้านหุ้นให้แก่นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา ราคา 1 บาท/หุ้น แล้วซึ่งเป็นราคาพาร์แล้วยิ่งทำให้เชื่อได้ว่า หุ้น Ample Rich อยู่ในมือของคนในตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์

ถ้าหุ้น Ample Rich อยู่ในการครอบครองของคนในตระกูลชินวัตรหรือดามาพงศ์จริงทั้ง 100% บริษัท Ample Rich จะกลายเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันกับบุคคลคนนั้นที่ต้องนับรวมหุ้นชินคอร์ปที่ถื อบุคคลนั้นอยู่เดิมเข้ากับหุ้นชินคอร์ปที่ Ample Rich ถืออยู่ 11.87% หรือประมาณ 32.92 ล้านหุ้น (ขณะนั้นราคาพาร์ 10 บาท) ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มาตรา 258 (ดูรายละเอียด มาตรา 258(5)(6) ในล้อมกรอบ)

แต่ในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีบุคคลใดในครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ที่ถือครองหุ้นชินคอร์ปอยู่รายงานการได้มาของหุ้นชินคอร์ปในส่วนที่ Ample Rich ถืออยู่ร้อยละ 11.87% แก่สำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 246 ที่ไม่มีรายการการเปลี่ยนแปลงการถือครองจำนวนหุ้นทุกๆ ร้อยละ 5

หรืออาจทำให้สันนิษฐานได้อีกทางหนึ่งว่า หุ้น Ample Rich มิได้อยู่ในมือของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ แต่อยู่ในชื่อบุคคล "ลึกลับ" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการให้บุคคลภายนอกทราบ

ประเด็นนี้ถ้าการซื้อ ขายหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 73,300 ล้านบาทโปร่งใส ตรงไปตรงมาอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้าง ก็ไม่น่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องปกปิดว่า หุ้น Ample Rich อยู่ในมือของใคร

หรือกลัวว่า เปิดชื่อผู้ถือหุ้น Ample Rich มาแล้วจะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับคดีซุกหุ้นภาคแรก

พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535

ม าตรา 258 หลักทรัพย์ของกิจการที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่ให้นับรวมเป ็นหลักทรัพย์ของบุคคลตามมาตรา 246 และมาตรา 247 ด้วย

(1) คู่สมรสของบุคคลดังกล่าว

(2) บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลดังกล่าว

(3) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลดังกล่าวหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) เป็นหุ้นส่วน

(4) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลดังกล่าวหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดที่มีหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของหุ ้นทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัด

(5) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่บุคคลดังกล่าวหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (3) หรือ (4) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทนั้น หรือ

(6) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่บุคคลดังกล่าวหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (3) หรือ (4) หรือบริษัทตาม (5) ถือหุ้นรวมกันเกินกว่าร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ บริษัทนั้น

(7) นิติบุคคลที่บุคคลตามมาตรา 246 และมาตรา 247 สามารถมีอำนาจในการจัดการในฐานะเป็นผู้แทนของนิติบุคคล

หน้า 2<


จาก หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ 28 ม.ค. 2549

Saturday, December 17, 2005

"อภิสิทธิ์"ข้องใจปิดทาง ไม่ให้ต่างชาติทำสื่อสาร

"เพ้ง"เคาะรถไฟฟ้า10สาย5แสนล. ใช้เทิร์นคีย์ "เลี้ยบ"โต้เมกะโปรเจ็คต์โปร่งใส "อภิสิทธิ์"ข้องใจปิดทาง ไม่ให้ต่างชาติทำสื่อสาร

โฆษก รบ.แจงรัฐบาลมีแผนแม่บทเมกะโปรเจ็คต์อยู่แล้ว แค่เปิดให้ต่างชาติเสนอมาเปรียบเทียบ ยันทยอยทำโครงการที่สำคัญก่อนปัดเป็นการให้สัมปทานต่างชาติ มั่นใจโปร่งใส มี กก.ระดับชาติดูแล "อภิสิทธิ์"ข้องใจทำไมไม่เปิดให้ต่างชาติมาลงทุนด้านสื่อสารบ้าง "เพ้ง"เร่งจัดทำทีโออาร์รถไฟฟ้า 10 สาย เล็งใช้แบบเทิร์นคีย์ "หน่อย"สวนผู้นำฝ่ายค้านให้มีวิสัยทัศน์กว้าง คุยอิสราเอลสนใจร่วมประมูลเมกะโปรเจ็คต์ด้านน้ำ

@ โฆษกรบ.ตอบฝ่ายค้านสงสัยเมกะโปรเจ็คต์

เ มื่อวันที่ 16 ธันวาคม นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนกนายกรัฐมนตรี แถลงตอบโต้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่ข้อสังเกตว่าอาจเกิดความไม่โปร่งใสขึ้นในการเปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงท ุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่(เมกะโปรเจ็คต์) ใน 8 ยุทธศาสตร์ 13 โครงการพร้อมตอบคำถาม 4 ข้อตามที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาถามมา

นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า การเปิดประมูลนานาชาติ(อินเตอร์เนชั่นแนล บิดดิ้ง) เป็นการดำเนินการในรูปแบบใหม่อาจทำให้หลายฝ่ายมีข้อกังวล ส่วนคำถามที่นายอภิสิทธิ์ ถามมา 4 ข้อ ขอชี้แจงดังนี้ 1.ความเป็นไปได้และผลตอบแทนในการลงทุน เรื่องนี้ส่วนราชการที่เป็นเจ้าของเมกะโปรเจ็คต์ได้ศึกษาโครงการของตนอย่างล ะเอียด และบางหน่วยงานได้จัดทำแผนแม่บทและเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) แล้ว เช่น โครงการอี-กัฟเวิร์นเมนต์ แต่ต่อมารัฐบาลได้ตั้งคำถามกับตัวเอง และไม่แน่ใจว่าแผนแม่บทที่เสนอมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดหรือไม่ จึงอยากประมวลความรู้จากทั่วโลกมาเพื่อให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุด

"ถ้ านักลงทุนชาวต่างชาติเสนอแผนงานเหมือนแผนแม่บทที่ส่วนราชการจัดทำไว้แล้ว ก็จะเป็นเครื่องการันตีว่าสิ่งที่เราคิดและจะทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้าเขาเสนอสิ่งที่แตกต่างและมีเหตุผลที่น่าฟัง เราก็จะนำข้อเสนอของเขามาใช้เพื่อให้การลงทุนเกิดประโยชน์สูงสุด นี่จึงถือเป็นการทบทวนตัวเองของรัฐบาล" นพ.สุรพงษ์กล่าว

@ ยันทยอยทำโครงการที่สำคัญก่อน

น พ.สุรพงษ์กล่าวต่อว่า 2.การจัดลำดับความสำคัญของโครงการและแผนงาน รัฐบาลไม่ได้จัดลำดับความสำคัญภายในโครงการเท่านั้นว่ารถไฟฟ้า 10 เส้นทางจะทำเส้นทางไหนก่อนหลัง แต่มีการจัดลำดับความสำคัญระหว่างโครงการด้วย โดยนำวินัยทางการคลังมากำกับคือ ในการลงทุนต้องก่อหนี้สาธารณะไม่เกินร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) สัดส่วนรายจ่ายต่อปีงบประมาณต้องไม่เกินร้อยละ 16 ดังนั้น ในเดือนเมษายน 2549 ซึ่งจะเริ่มประมูล จึงไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะทำทุกโครงการพร้อมกัน ถ้าเสนอโครงการเข้ามาพร้อมกันแล้วทำให้หนี้สาธารณะสูงเกินร้อยละ 50 ของจีดีพี เราก็ไม่ทำทั้งหมด แต่จะเลือกดำเนินโครงการที่มีความสำคัญก่อน เช่น โครงการคมนาคมขนส่งเพราะจะลดการใช้พลังงาน โครงการพัฒนา 25 ลุ่มน้ำเพราะกระทบประชาชนจำนวนมาก โครงการด้านการศึกษาเพราะต้องเร่งพัฒนาความรู้ให้เยาวชน อาจจะทำได้ 3-4 โครงการ ถ้าได้เท่านั้นก็เท่านั้น ส่วนโครงการที่เหลือจะทยอยทำไปเมื่อจีดีพีสูงขึ้น แม้รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับโครงการคมนาคมขนส่ง แต่ไม่ได้หมายความว่ารถไฟฟ้าทั้ง 10 เส้นทางจะสร้างพร้อมกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเกิดวิกฤตใน กทม.แน่ แต่จะค่อยๆ สร้างไป โดยดูเหตุผลความจำเป็นที่บริษัทเอกชนเสนอว่าเหตุใดจึงต้องสร้างเส้นทางนี้ก่ อน

@ ยันไม่ปิดกั้นคนไทย-มีกก.ระดับชาติคุม

นพ.สุรพงษ์กล่าวว ่า 3.การมีส่วนร่วมของนักลงทุนไทยในโครงการต่างๆ ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยคิดปิดกั้นโอกาสนักลงทุนชาวไทย อย่างวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้เชิญภาคเอกชนไทยทั้งสภาอุตสาหกรรม หอการค้าไทย ประมาณ 60 คนมาร่วมรับฟังการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกฯด้วย ดังนั้น ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการขนาดกลาง และโครงการที่ไม่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเกินไป หากเอกชนไทยมีความสามารถก็สามารถนำเสนอแผนงานแข่งกับนักลงทุนชาวต่างชาติได้ ถ้าข้อเสนอใกล้เคียงกันรัฐบาลพร้อมให้งานนักลงทุนชาวไทยด้วยซ้ำ หรือไม่อย่างนั้นเอกชนไทยอาจใช้วิธีไปร่วมลงทุนกับบริษัทต่างชาติ หรือไม่ก็ไปเป็นบริษัทรับเหมาช่วง(ซับคอนแทร็ก) อย่างโครงการคมนาคมขน สมมุติว่านักลงทุนชาวต่างชาติได้รับงานไป มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะขนคนงาน ขนวิศวกรจากประเทศเขามาคุมงานได้ตลอดเวลา

นพ.สุรพงษ์กล่าวต่อว่า 4.ความโปร่งใสในการดำเนินการ เรื่องนี้มีความชัดเจน นายกฯจะไม่เป็นประธานการประมูลเอง แต่จะมีคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาพิจารณารายละเอียดทั้งหมด ซึ่งผู้ที่จะเชิญมาเป็นกรรมการมีทั้งนักวิชาการ ผู้แทนจากองค์กรอิสระและสภา เพื่อให้ปราศจากข้อครหา คาดว่าจะเห็นโฉมหน้าคณะกรรมการระดับชาติก่อนสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมกราคม 2549 ที่จะมีการสัมมนากับผู้สนใจร่วมลงทุนเมกะโปรเจ็คต์กับรัฐบาล พร้อมๆ กับเห็นระเบียบพัสดุตัวใหม่ด้วย สาเหตุที่รัฐบาลต้องแก้ไขระเบียบพัสดุเพราะผู้ได้งานไม่จำเป็นต้องเสนอราคาต ่ำที่สุด แต่ต้องมีเงื่อนไขดีที่สุด

@ ปัดเป็นการให้สัมปทานต่างชาติ

" ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การให้สัมปทานต่างชาติแน่ ไม่ใช่พอเขาเข้ามาแล้วจะได้หากินอยู่ 20-30 ปี ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมีมาก แต่ตลาดระดับโลกมีไม่มาก ดังนั้นรัฐบาลจะเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด และต้องไม่มีข้อผูกมัดระยะยาว ถ้าใครเสนอขอสัมปทาน รัฐบาลถือว่าเป็นเงื่อนไขที่ไม่ดี แต่ถ้าเป็นเงื่อนไขว่าจะมารับจ้างเราทำงาน ให้เราทยอยผ่อนชำระหนี้ได้ โดยอาจแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าการเกษตร(บาร์เตอร์เทรด) อย่างนี้เราถือว่าเป็นเงื่อนไขที่ดี เราก็จะจ้างคนนั้น ถ้ามันไม่โปร่งใสเสียตั้งแต่ต้น ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกก็จะไม่อยากมาร่วมงาน" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่นายกฯบอกว่าต้องเชิญชาวต่างชาติมาเสนอแผนงานเพราะประเทศไทยไม่มีองค์ความ รู้ ในเมื่อไม่มีองค์ความรู้จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ต่างชาติเสนอมาเป็นสิ่งที ่ดีที่สุด นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าไม่มีองค์ความรู้เลย ไม่ใช่ว่าหัวว่าง ไม่มีอะไรในสมองเลย แต่รัฐบาลอยากได้ความมั่นใจว่าองค์ความรู้ที่มีอยู่ทั่วโลกไม่ได้แตกต่างจาก องค์ความรู้ที่ได้จากที่ปรึกษา เพราะบางครั้งที่ปรึกษาอาจจะไม่ได้หยิบความรู้ด้านนั้นๆ มาประยุกต์ก็ได้ ถ้าเรารีบลงทุนแล้วมาเจอภายหลังก็จะเสียดาย

เมื่อถามว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าการลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ใน 8 ยุทธศาสตร์ 13 โครงการจะแล้วเสร็จเมื่อไร นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า "เรื่องนี้เป็นแผนพัฒนาประเทศ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเสร็จภายใน 3 ปีก่อนการเลือกตั้งปี 2552 เพราะเราไม่ได้หวังผลตรงนั้น แต่เราทำเพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาว"

@ ย้ำถังไม่แตกคุยเรื่องเงินไม่มีปัญหา

ผ ู้สื่อข่าวถามว่า แต่ฝ่ายค้านระบุว่าการใช้รูปแบบบาร์เตอร์เทรดขาดความโปร่งใสที่สุด นพ.สุรพงษ์หัวเราะก่อนบอกว่า "คนพูดเรื่องนี้ไม่เข้าใจว่าหลักบาร์เตอร์เทรดว่าคืออะไร คือแทนที่เราจะจ่ายเงินให้บริษัทต่างๆ เราก็จ่ายเงินให้เกษตรชาวไทยแทน มันทำให้เกษตรกรชาวไทยมีตลาดที่ชัดเจน ทั้งนี้เราไม่ได้จำกัดจำนวนโครงการที่จะใช้วิธีบาร์เตอร์เทรด ถ้าใครมีข้อเสนอที่น่าพอใจเราก็จะให้ลงทุนด้วย"

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่รัฐบาลต้องเลื่อนเวลาประมูลเมกะโปรเจ็คต์ออก ไปเป็นช่วงเมษายน 2549 เป็นเพราะถังแตก ไม่มีเงิน ต้องรอรายได้จากการจัดเก็บภาษี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกันเลย เรื่องงบประมาณ ไม่มีปัญหาเลย ล่าสุดกระทรวงการคลังก็รายงานในที่ประชุม ครม.ว่ารายได้ที่จัดเก็บได้ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนสูงกว่าที่มีการประมาณกา รเอาไว้ ความจริงถ้าจะทำตามเดิมคือเดือนมกราคม 2549 ก็เริ่มประมูลได้ เงินมีอยู่ แต่ถ้าถามว่าถ้ารออีก 2-3 เดือนแล้วได้สิ่งที่ดีที่สุดน่าจะดีกว่าหรือไม่

@ อิสราเอลสนร่วมประมูลเมกะโปรเจ็คต์น้ำ

ค ุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกับนายเอฮุด โอเมิท รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม การค้าและแรงงาน ประเทศอิสราเอล ว่า อิสราเอลแสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมการประมูลงานโครงการเมกะโปรเจ็คต์เรื่องน ้ำ โดยจะส่งเจ้าหน้าที่และนักวิชาการเข้ามาทำการศึกษาเข้ามูลเรื่องน้ำของประเท ศไทยอย่างละเอียด โดยรูปแบบโครงการน้ำที่จะเปิดประมูลจะเน้นหนักไปที่การทำระบบผันน้ำในแต่ละพ ื้นที่เป็นหลัก ซึ่งระหว่างการหารือนายเอฮุด ยังกล่าวชื่นชมแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับการเปิดประมูลแบบใหม่ของไทย ที่ให้ต่างชาติเข้ามาร่วมประมูลงาน ซึ่งจะทำให้ไทยมีโอกาสรับทราบความก้าวหน้าในเทคโนโลยีของชาวต่างชาติ

ค ุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่าไทยจะเสียผลประโยชน์นั้น อยากให้นายอภิสิทธิ์เปิดใจให้กว้างมากกว่านี้ เพราะเจตนาสำคัญของรัฐบาลที่จะให้ต่างประเทศเข้ามาประมูลงานคือ การหาเทคโนโลยีที่ดีสุดมาใช้

"ท่านผู้นำฝ่ายค้านควรจะมีวิสัยทัศน์ ที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่มองอะไรเพียงด้านเดียว เพราะรัฐบาลมองเรื่องผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักอยู่แล้ว" คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวและว่า การประมูลงานระดับนานาชาตินั้น ผู้ประกอบการไทยก็มีสิทธิเข้าร่วม เพราะจะไม่ใช่ลักษณะการหาผู้รับเหมามาดำเนินงาน แต่เป็นการตั้งโจทย์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ

@ "เพ้ง"ประมูลแบบเทิร์นคีย์รถไฟฟ้า10สาย

น ายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง "การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเมือง และการแก้ไขปัญหาการจราจรที่ยั่งยืน" ถึงความคืบหน้าการเปิดประมูลการก่อสร้างโครงข่ายระบบขนส่งมวลชน 10 เส้นทาง ว่า เร่งจัดทำข้อมูลและขอบเขตของการจัดทำทีโออาร์(เงื่อนไขการยื่นข้อเสนอ) เพื่อประกวดราคา โดยใช้วิธีการเปิดประมูลนานาชาติแบบเทิร์นคีย์(จ้างเหมาเบ็ดเสร็จ) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ยื่นข้อเสนอทั้งทางด้านเทคนิค การเงิน แผนงาน และแผนการลงทุน อาจจะเป็นการลงทุนแบบการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ของภาครัฐ(Public & Private Participation : PPP) หรือ การร่วมลงทุนแบบก่อสร้างและเข้ารับสัมปทาน(Build Operate & Transfer : BOT) โดยฝ่ายไทยจะพิจารณาเลือกข้อเสนอที่ดีและเหมาะสมที่สุด

นายพงษ์ ศักดิ์กล่าวว่า ในอนาคตความต้องการในการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะเพิ่ม สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โครงข่ายถนนและระบบขนส่งสาธารณะไม่สามารถตอบสนองได้อย่างทั่วถึง ดังนั้น ภายใต้งบประมาณ 555,737 ล้านบาท แผนการดำเนินงานด้านการวางโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนต้องพิจารณาบนพื้นฐานที่เห ็นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งนำไปสู่การให้ประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลและหันมาใช้ระบบขนส่งสาธาร ณะมากขึ้น

@ "อภิสิทธิ์"ข้องใจไม่ให้ต่างชาติลงทุนสื่อสาร

นา ยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลหมดกำลังจะไปต่อรองกับผู้ลงทุนต่างชาติว่าจะให้นักลงทุนทำอะไร จึงต้องสัมปทานเลหลังประเทศ บอกว่าใครต้องการอะไรก็เข้ามา ให้เลือกทำธุรกิจได้แทบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ความมั่นคง ยกเว้นเรื่องเดียวที่รัฐบาลไม่เปิดโอกาสให้เข้ามาคือ ด้านโทรคมนาคม จริงอยู่ที่รัฐบาลบอกว่าการเชิญนักลงทุนต่างชาติมาไม่ต้องใช้เงิน แต่ผู้มาลงทุนย่อมได้ประโยชน์จากเงื่อนไขหรือสัมปทานในการเข้ามาลงทุน และการให้ต่างชาติเข้ามาก็เป็น "วิน-วิน" คือ ได้ทั้งคู่คือนักลงทุนและรัฐบาลที่จัดสรรเค้กกัน แต่ไม่ใช่ "วิน-วิน-วิน" ซึ่งวินตัวที่สามคือ ประชาชน เพราะไม่มีส่วนร่วมที่จะไปบอกว่าต้องการอะไร

หน้า 1



จาก หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ 17 ธ.ค. 2548

เซ็งลี้ประเทศไทย ใครยกประเทศให้ทักษิณ?

รัฐบาลในอดีต เคยถูกกล่าวหาว่า "ขายชาติ" เพราะค้าขายกับต่างชาติ และเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาหาผลประโยชน์กับสมบัติของแผ่นดินไทย
น่าแปลกใจ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ-ไทยรักไทย ปรากฏว่า มีการอ้างว่าแปรรูปรัฐวิสาหกิจแต่ข้อเท็จจริงเป็นการขายรัฐวิสาหกิจขนานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ปตท. การบินไทย แล้วยังเตรียมจะขายการไฟฟ้า การประปา ฯลฯ มีการทำข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศเอฟทีเอ(FTA) ที่ทำให้ชาติสูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจการคลัง
ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงกับเชิญชวนคณะทูตจาก ๕๒ ชาติเข้าร่วม ฟังนโยบายของตน ที่ต้องการจะเปิดให้ชาวต่างชาติเสนอแนวคิดพัฒนาชาติไทยและเลือกลงทุนในโครงก ารขนาดใหญ่ของประเทศไทย
เป็นการเปิดประมูลประเทศแบบฟรีสไตล์ เปิดบ้านให้เอกชนต่างชาติเสนอขายในสิ่งที่ตนถนัดและสนใจ หรือสิ่งที่ตนต้องการจะทำกับประเทศไทย โดยเอกชนต่างชาติที่สนใจ จะได้นำเสนอตั้งแต่แนวคิด เทคโนโลยี และเงินลงทุนในโครงการเหล่านั้น ในแบบที่ไม่มีข้อจำกัดเบื้องต้น
เรียกว่า ผู้ประมูลจะเป็นผู้กำหนดทีโออาร์ เลือกว่าจะทำอะไร แค่ไหน อย่างไร
หรือพูดง่ายๆ ว่า ต่างชาติรายใด มองเห็นโอกาส ช่องทาง ทรัพยากรของแผ่นดินไทย ที่ดูว่าน่าจะหยิบจับขึ้นมาทำโครงการขนาดใหญ่ ก็สามารถนำเสนอแนวคิด โครงการ เทคโนโลยีและเงินลงทุนแก่รัฐบาลทักษิณ
ไม่ว่าจะเป็น โครงการขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า การจัดการทรัพยากรน้ำ การขนส่งสินค้าและบริการ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลข่าวสาร การพัฒนาการศึกษา ระบบสาธารณสุข หรือแม้แต่ระบบป้องกันประเทศ ก็ยังจะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนด้วย
มองในแง่ดี การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แสดงความ "เปิดกว้าง" ในระดับที่เรียกได้ว่า "อ้าซ่า" แก่นักลงทุนต่างชาติขนาดนี้ หากไม่มีการล็อกสเปก ไม่มีการผูกขาดโดยนายหน้ารัฐบาล ไม่มีข้อจำกัดเบื้องต้นจริงๆ ก็น่าจะทำให้เกิดการระดมมันสมองขนานใหญ่ ว่าจะพัฒนาประเทศไทยใน "ท่วงท่า" ไหนดี
อันไหนดี อันไหนคุ้ม อันไหนเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองก็หยิบขึ้นมาทำ
แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง นโยบายนี้ก็คือการเปิดท้ายขายของระดับชาติ เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาเลือกหาชิ้นส่วนประเทศไทย เพื่อหยิบฉวยขึ้นมาทำมาหากินร่วมกัน
ยิ่งในขณะนี้ โครงสร้างอำนาจการเมืองของประเทศไทยถูกผูกขาด ความโปร่งใสอยู่ในระดับต่ำ การตรวจสอบรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ ปัญหาการทุจริตข้ามชาติก็ยังไม่สร่างซา
กลัวจะเป็นการ "เซ็งลี้" ประเทศ ในยาม "ถังแตก" เสียล่ะมากกว่า!
การที่รัฐบาลทักษิณ มีสเปกเอาไว้ในใจ แต่ไม่ยอมกำหนดออกมาเป็นเงื่อนไข ประกาศให้รับรู้ชัดเจนตายตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผ่อนชำระโครงการโดยจ่ายเป็นสินค้าเกษตรส่วนหนึ่ง หรือข้อจำกัดในเรื่องสัดส่วนหนี้ต่างชาติต่อจีดีพี ซึ่งในที่สุด ผู้ที่จะได้โครงการไปทำก็ต้องเป็น "คนที่รู้ใจรัฐบาล" รู้ตื้นลึกหนาบาง รู้ช่องทางการเจรจาต่อรอง การกำหนดเงื่อนไขที่จะถูกใจคนในรัฐบาล หรือยัดเงินให้คนบางตระกูลในรัฐบาลได้
เพราะทุกเงื่อนไขเป็นเรื่องที่ "คุยกันได้"
ถ้านักลงทุนเป็นฝรั่งที่ไม่รู้ใจ ก็จะต้องติดต่อกับนายหน้า ติดต่อหาผู้ร่วมทุนคนไทยที่เป็นคนใน หรือเป็นคนรู้ใจรัฐบาล คนที่จะได้รับผลประโยชน์แน่ๆ ก็คงหนีไม่พ้นคนในเครือๆ รัฐบาล นั่นเอง
แนวคิดของผู้นำรัฐบาลที่ว่า "การดำเนินการอย่างนี้ยังไม่เคยมีใครทำ ไทยจะเป็นประเทศแรกของโลกที่จะทำ เราจะไม่ผ่อนความเจริญ แต่จะยอมผ่อนเงินเพื่อให้เกิดความเจริญ" จึงเป็นแนวคิดน่ากลัวมากกว่าจะน่าสรรเสริญ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ที่ดินส่วนตัว ที่ใครนึกอยากจะเอาไปจำนอง เอาเงินมาสร้างบ้านก็จะทำได้ง่ายๆ
ในระบบบริษัท ถ้าซีอีโอจะเจรจาตกลง ซื้อ-ขาย-ให้เช่า เกี่ยวกับทรัพย์สินของบริษัท ถ้าเป็นการเจรจาขนาดใหญ่ ก็จะต้องขอความเห็นชอบจากตัวแทนผู้ถือหุ้นบริษัทเสียก่อน แต่ในระบบประชาธิปไตยของประเทศไทย นายกฯ ทักษิณ สามารถจะตัดสินใจทำอะไรกับทรัพยากร ทรัพย์สินของชาติ เปิดให้คนต่างชาติเข้ามาหาผลประโยชน์ โดยไม่ต้องถามตัวแทนประชาชนเจ้าของประเทศตัวจริงเสียก่อนเลย
ใครยกประเทศไทยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่อยากวิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ มากไปกว่านี้ แต่อยากวิจารณ์ว่า คนไทยทำไมถึงยอมให้ทักษิณทำกับประเทศได้ ขนาดนี้!

สารส้ม


จาก "กวนน้ำให้ใส" แนวหน้า 16 ธ.ค. 48

Monday, November 21, 2005

สารานุกรมเสรี

สารานุกรมเสรี

คอลัมน์ เว็บฮิต

โดย ปิศาจเว็บ

ห ลังจากความพยายามในการค้นหาเว็บไซต์เพื่อมาเป็นอาหารสมองมานาน ก็ได้มาค้นพบกับเว็บไซต์ดีๆ อย่าง วิกิพีเดีย หรือสารานุกรมเสรี ที่ http://th.wikipedia.org

สารานุกรมดีๆ ที่อยากจะแนะนำไว้ให้ใช้กัน อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไร ข้องใจคำศัพท์ที่อยากจะค้นหาคำตอบให้ได้ว่า มันหมายความว่าอย่างไร และรับทราบข้อมูลข่าวสารล่าสุดที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พร้อมบทความดีๆ ที่คัดสรรมาให้อ่านกัน

ไม่ได้อยากจะหาอะไร ก็เข้าไปอ่านหาความรู้กันได้ เพราะสารานุกรมนี้มีทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษให้เลือกใช้เลือกอ่านกัน ถ้าอยากจะอ่านเป็นภาษาอังกฤษ ก็แค่เปลี่ยนจาก th ข้างหน้า เป็น en ก็เป็นอันเรียบร้อย

หน้า 18




หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ ฉบับ 12 พ.ย.2548